10 แนวทางช่วยลูกให้ไปถึงอาชีพในฝัน พร้อมบทสัมภาษณ์จากคนในสายงาน

แนวทางช่วยลูกให้ไปถึงอาชีพในฝัน

คำขวัญวันเด็กประจำปี 2564 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

“เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”

โตขึ้นอยากเป็นอะไร ? เป็นคำถามที่เด็กๆหลายคนต้องโดนถามกันทุกคน นี่เป็นคำถามที่ดีนะคะ เป็นคำถามปลายเปิด ที่เปิดโอกาสให้เด็กน้อยได้คิดว่าอยากประกอบอาชีพเป็น? หากเด็กเจอคำตอบแล้วก็อาจจะง่ายต่อพ่อแม่ในการผลักดัน แต่หากเด็กยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองอยากเป็นอะไร คุณพ่อคุณแม่ต้องกระโดดเข้ามาช่วยให้ลูกค้นหาสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น อยากทำ เพราะในฐานะผู้ใหญ่ ทุกคนต่างรู้ดีว่าการตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วอยากทำในสิ่งที่ตัวเองรักนั้นมันช่างเติมเต็มวันที่แสนหนักหน่วงให้เป็นวันที่ง่ายๆ มีเป้าหมายในการทำงาน แล้วเราจะช่วยให้ลูกค้นพบสิ่งที่ชอบ สิ่งที่อยากเป็น นั้นได้อย่างไรบ้าง มาดูกันค่ะ

สารบัญ

10 แนวทางช่วยลูกให้ไปถึงอาชีพในฝัน

1.ให้ลูกได้ใช้เวลากับตัวเองบ้าง

ให้ลูกได้ใช้เวลากับตัวเองบ้าง

จริงอยู่ที่ว่าพ่อแม่ หรือผู้ปกครองควรให้เวลากับลูก แต่ในบางครั้งการที่ลูกได้มีเวลาว่างอยู่กับตัวเอง ก็เป็นการสร้างช่วงเวลาที่เงียบสงบให้กับตัวคุณเองและลูก ตัวพ่อแม่ก็ได้ใช้เวลาช่วงนี้ทำงานบ้าน ทำอาหาร พักผ่อนย่อนใจ ลูกเองก็ได้เล่นและสร้างจินตนาการในการเล่นของตัวเอง เช่นการระบายสี การอ่านหนังสือ หรือการต่อเลโก้  เป็นต้น คุณอาจจะรู้สึกว่าลูกของคุณอาจจะเกิดอาการเบื่อ แต่คุณรู้มั๊ยค่ะว่าอาการเบื่อหน่ายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างจินตนาการของเด็กหลายๆคน ดังเช่นที่คุณหมอเด็กฝั่งตะวันตกบอกไว้ว่า Bored kids become imaginative kids! เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลไปค่ะหากคุณปล่อยให้ลูกได้ใช้เวลาว่างอยู่กับตัวเองบ้าง 

10 หลักการเลือก ของเล่นเสริมพัฒนาการ ที่ดีที่สุดให้กับลูกน้อย ที่พ่อแม่ห้ามพลาด (thatsmatter.com)

8 ของเล่นเสริมพัฒนาการ เด็กช่วงอายุ 0-3 เดือน เล่นสนุก ฝึกสมอง (thatsmatter.com)

2. ปิดหน้าจอ (Screen time) 

ปิดหน้าจอ (Screen time)

ยังจำได้มั๊ยคะสมัยเราเด็กๆ (คนที่โตในยุค 70’s 80’s 90’s) เรามีช่องทีวีไม่กี่ช่อง (จำได้คร่าวๆคือ 5 ช่อง) และบางช่องก็มีลูกน้ำวิ่งวนอยู่มากมาย ทำให้การดูทีวีแต่ละครั้งช่างปวดหัว ปวดตาสะเหลือเกิน (แต่ตอนนั้นก็มีความเคยชิน) พอช่วงดึกมากๆ ทางช่องก็จะปิดช่อง ทำให้ไม่สามารถดูอะไรได้บนหน้าจอทีวีในเวลานั้น 

ในยุคนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือ บางบ้านก็ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีการรับข้อมูลตลอดเวลา 24 ชั่วโมง แต่เด็กในยุคนี้ ถูกโจมตีด้วยเสียงรบกวนอย่างต่อเนื่อง จากโซเชียลมีเดีย ทีวี Netflix YouTube ซึ่งเด็กอายุสองขวบหลายๆคนรู้วิธีการใช้งานมือถือ แท็บเล็ต ได้ดีกว่าปู่ ย่า ตา ยาย สะอีก

ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ หรือเด็กหากได้ใช้เวลาอยู่หน้าหน้าจอแล้ว บางครั้งก็จะเพลินจนลืมเวลาไปเลย ดังนั้นการลดการใช้เวลาอยู่หน้าจอทีวี มือถือ และแท็บเล็ต  ก็จะทำให้เด็กมีเวลาในการหาความสนใจอื่น ๆ ที่จะเติมเต็มเวลาที่มีประสิทธิภาพของเด็ก 

ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า 

  • เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปีไม่ควรใช้เวลาอยู่กับหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลย
  •  เด็กที่มีอายุระหว่าง 2-5 ปี ควรกำหนดเวลาวันละ 1 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านั้นได้ก็จะยิ่งดี 

ซึ่งเวลาหน้าจอ (Screen time) ที่กล่าวมานั้น จะรวมไปถึงการดูโทรทัศน์  ดูสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดูหน้าจอทีวี มือถือ และแท็บเล็ต

มิเชล เดมูร์เจท์ นักประสาทวิทยาชื่อดังชาวฝรั่งเศส ผู้ที่เขียนหนังสือชื่อ “The Digital Cretin (or Idiot) Factory”  บอกว่า จากการศึกษาของนักวิจัย ได้สังเกตว่าช่วงเวลาที่คนเราได้อยู่หน้าจอเพื่อรับความบันเทิง จะเป็นตัวชะลอพัฒนาการของสมอง และมีผลต่อกระบวนการรับรู้ ทางด้านการใช้ภาษาและการจดจ่อมีสมาธิต่อการทำงานของสมอง แต่เมื่อต้องทำงานที่ต้องใช้ความคิด สติปัญญา การอ่านหนังสือ การฟังเพลง หรือการเล่นกีฬา จะช่วยเสริมสร้างโครงสร้างและเป็นประโยชน์ต่อสมองมากกว่า

และทางสมาคมกุมารเวชศาสตร์อเมริกัน  (AAP-American Academy of Pediatrics) กล่าวว่าการใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากเกินไปอาจทำให้เด็กมีอาการสมาธิสั้น  ซึ่งจะส่งผลต่อการเรียนได้ , ปัญหาการนอนหลับ ที่ไม่มีประสิทธิภาพ , อาจมีโอกาสเป็นโรคอ้วนได้สูง เนื่องจากไม่ได้ทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย

3.ส่งเสริมมีกิจกรรมที่ขยับเขยื้อนร่างกาย

ส่งเสริมมีกิจกรรมที่ขยับเขยื้อนร่างกาย

การออกกําลังกาย เคลื่อนไหวร่างกาย มีประโยชน์มากมายไม่น้อย มีอะไรบ้างไปดูกันค่ะ

  • ซึ่งทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายแข็งแรง 
  • เมื่อเราออกกำลังกาย ร่างกายก็จะหลั่งเอ็นโดรฟิน สารแห่งความสุข ที่จะช่วบบรรเทาอาการซึมเศร้า คลายเครียด และเพิ่มความเชื่อมั่นในตนเอง 
  • ช่วยให้ค้นพบตัวเอง กีฬาเปิดโอกาสที่ดีให้เด็กได้เรียนรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร และสิ่งที่พวกและเขาทําอะไรได้บ้าง – จากการที่คุยกับหลาน ที่พยายามจะออกกำลังกายโดยการวิ่ง หลานพยายามที่จะต่อสู้กับระยะทางและเวลา เพื่อทำลายสถิติที่เขาได้วางไว้ เมื่อทำได้ ก็มีความสุข ทึ่งกับผลลัพธ์ที่ได้ และพยายามที่จะหา Challenge ใหม่ๆให้กับตัวเองเสมอ

โดยทางองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า 

  • ทารก (น้อยกว่า 1 ปี) ควรจะมีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย อย่างน้อย 30 นาที ในท่านอนคว่ำ (tummy time) โดยแบ่งออกไปเป็นช่วงๆในเวลาที่เด็กตื่น
  • เด็กอายุ 1-2 ปี  ควรจะมีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายอย่างน้อย 180 นาที (1 ชั่วโมง 30 นาที) เวลาดังกล่าวรวมกิจเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง และเคลื่อนไหวร่างกายอย่างปานกลาง โดยแบ่งออกเป็นช่วงๆ หรือหากสามารถออกกำลังกายได้มากกว่านี้ได้ก็จะดีมาก 
  • เด็กอายุ 3-4 ปี ควรมีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายอย่างน้อย 180 นาที (1 ชั่วโมง 30 นาที) เวลาดังกล่าวรวมกิจเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง และเคลื่อนไหวร่างกายอย่างปานกลาง เป็นเวลาอย่างน้อย 60 นาที โดยแบ่งออกเป็นช่วงๆ หรือหากสามารถออกกำลังกายได้มากกว่านี้ได้ก็จะดีมาก 
  1. ส่งเสริมให้เด็กๆ สํารวจความสนใจของพวกเขาส่งเสริมให้เด็กๆ สํารวจความสนใจของพวกเขา

สนับสนุนให้เด็กๆ ได้สํารวจความสนใจของพวกตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น การให้ลูกได้เรียนว่ายน้ำ เรียนเทนนิส ตีกอล์ฟ ร้องเพลง เล่นดนตรี เต้น ฝึกทำขนม ทำอาหาร เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งก็ต้องขึ้นกับสุขภาพทางการเงินของครอบครัวนั้นๆด้วย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำให้เป็นอุปสรรคสะทีเดียว เพราะพ่อแม่สามารถพาลูกทำกิจกรรมที่ทางครอบครัวมีความสามารถในการสนับสนุนได้

อย่างที่มิเชล เดมูร์เจท์ นักประสาทวิทยาชื่อดังชาวฝรั่งเศส กล่าวว่าการกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิด สติปัญญา การอ่านหนังสือ การฟังเพลง หรือการเล่นกีฬา จะช่วยเสริมสร้างโครงสร้างและเป็นประโยชน์ต่อสมองมากกว่า

ซึ่งกิจกรรมเหล่านั้นที่ลูกชอบอาจจะไปเป็นอาจจะกลายเป็นอาชีพ หรืองานอดิเรกของลูกไปเลยก็ได้นะคะ

5. ปล่อยให้พวกเขาเลือกเองในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และจัดการกับผลที่ตามมา

ส่งเสริมให้เด็กๆ สํารวจความสนใจของพวกเขา

การตัดสินใจของตัวเอง มาจากการฝึกฝน คือคุณต้องปล่อยให้ลูกตัดสินใจเองบ้าง ถึงแม้ว่าคุณไม่เห็นด้วย อาจจะด้วยเหตุผลบางอย่าง (แต่คุณต้องมั่นใจว่าการตัดสินใจนั้นจะไม่ปล่อยให้พวกลูกเกิดอันตราย)  โดยคุณจะเป็นคนให้คําแนะนําและปล่อยให้พวกลูกตัดสินใจเองและจัดการกับผลที่ตามมา ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี

การทำแบบนี้จะช่วยให้พวกลูกได้มีพัฒนาการในด้านการตัดสินใจและปรับตัวให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างปลอดภัย การปล่อยให้ลูกได้ตัดสินใจโดยมีคุณเป็นคนชี้แนะในวัยเด็กนั้น จะช่วยส่งเสริมให้การตัดสินใจอะไรใหญ่ๆในอนาคตของลูกในวัยที่โตเป็นผู้ใหญ่ มีการใช้สติ (ตามหลักการ EF (Executive Functions)) ในวันที่ไกลจากพ่อแม่หรือไม่มีพ่อแม่คอยแนะนำอยู่ข้างๆ 

6. ปล่อยให้ลูกได้เล่นเอง เจ็บเองบ้าง

ปล่อยให้ลูกได้เล่นเอง เจ็บเองบ้าง

การให้เวลาและพื้นที่แก่เด็กๆ ในการคิดสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองสร้างความนับถือตนเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง (self-esteem) และจะช่วยให้ลูกมีความแข็งแกร่งด้านจิตใจ มีความสามารถและมีไหวพริบ

เพราะเขาได้เรียนรู้ที่จะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกินการเจ็บตัวได้ 

7.ตอบคําถามเจ้าหนูจำไม

ตอบคําถามเจ้าหนูจำไม

ส่วนหนึ่งของเด็กที่เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง ก็มาจากการถาม ซึ่งบางคำถามก็เล่นสะคนตอบไปไม่ถูกเลยทีเดียว แต่อย่าหงุดหงิดไปค่ะ พยายามที่จะตอบด้วยคําตอบที่ตรงไปตรงมา และเหมาะสมกับอายุ ถึงแม้คำถามนั้น จะเป็นคำถามที่ถามมาหลายรอบแล้วก็ตาม หากตกอยู่ในสถานการณ์นี้ คุณก็สามารถถามกลับไปได้ว่า เพราะอะไรน๊า จำได้รึเปล่า แม่/พ่อเคยตอบไปแล้วนี่นา แล้วจะช่วยให้เขาได้คิด และดีไม่ดีอาจจะได้ตอบคำถามตัวเอง แต่บางครั้งก็ยังคงเป็นคุณพ่อคุณแม่นั่นแหละค่ะที่ตอบคำถามนั้น เคยมีความคิดนะคะว่าอยากอัดเสียงไว้แล้วกดตอบคำถามของลูก ใครมีความคิดแบบเดียวกับเราบ้างคะ 😂

  1. สอนให้ลูกรู้จักการให้ รู้จักแบ่งปัน มีน้ำใจ

การเอื้อเฟื้อไม่ว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์หรือสัตว์ก็ตามแต่ การเอื้อเฟื้อมีหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการให้ หรือการช่วยเหลือ โดยคุณต้องให้ลูกรู้จักสังเกตและรับรู้ถึงความต้องการของผู้อื่น และของตนเอง เพราะการมีน้ำใจ ช่วยผูกมิตรอีกทางหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ในขอบเขตที่พอดี เพราะหากคุณสอนให้ลูกเป็นผู้ให้ตลอด ก็อาจจะมีคนบางประเภทที่จะมาฉวยโอกาสจากการมีน้ำใจของลูกได้ 

เช่น หากลูกกำลังเล่นของเล่นอยู่ (เพิ่งเริ่มที่เล่น และของเล่นชิ้นนั้นเล่นได้ครั้งละคน) แต่มีเพื่อนอีกคนอยากด้วย ลูกเราสามารถที่จะเล่นต่อไปได้ หากลูกยังต้องการที่จะเล่น แต่ควรบอกเพื่อนให้รอ และคุณเองต้องคอยกระตุ้นด้วยว่าถึงเวลาที่จะผลัดให้เพื่อนเล่นแล้ว เพราะบางครั้งเด็กเขาไม่ทราบหรอกค่ะว่า 1 นาที 10 นาที มีความยาวนานเท่าไหร่

  1. ปลูกฝังความพากเพียรพยายามให้กับลูก

เพราะคนเป็นพ่อเป็นแม่รู้ดีอยู่แล้วว่าการจะทำอะไรให้สำเร็จในบางครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องอาศัยความพากเพียร พยายาม ฝึกฝน คุณพ่อคุณแม่ควรเป็นกำลังใจให้ลูก พูดสิ่งที่จะมาเสริมความมั่นใจว่าลูกจะสามารถทำได้ เพราะพลังบวกเป็นพลังที่มีพลังมหาศาล ช่วยให้คนฮึกเหิม มีกำลังใจ อย่าพยายามเอาพลังลบ ดูถูก ดูหมื่นลูกมาทำให้ลูกเสียกำลังใจนะคะ

  1. ส่งเสริมให้ลูกคุ้นชินกับ อาชีพในฝัน ที่ลูกอยากเป็น

การมีความฝันนั้นถือว่าเป็นเรื่องดีนะคะ เพราะจะทำให้เด็กมีเป้าหมาย และไม่เสี่ยงต่อการออกนอกระบบการศึกษา ซึ่งความฝันนั้นบางคนก็อาจจะเปลี่ยนแปลงตามอายุ แต่บางคนก็ชัดเจนตั้งแต่เด็ก หากคุณพาลูกไปเจอกับคนที่ประกอบอาชีพนั้นๆ ก็จะเพิ่มแรงบันดาลใจให้กับลูกได้เป็นอย่างดี

วันนี้ทาง thatsmatter.com มีอาชีพที่มาเปิดโลกทัศน์ให้กับเด็กๆได้รู้จักกัน ซึ่งเป็นอาชีพที่คุ้นเคยกันมาบ้างแล้ว แล้วอาจจะเป็น อาชีพในฝัน ของลูกคุณก็เป็นไปได้ มีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ 

อาชีพในฝัน ของเด็กๆ หลายคน

อาชีพแพทย์

แพทย์ หมอ อาชีพในฝัน

นายแพทย์ศุภฤกษ์ ทิพาพงศ์ (หมอเเอ็ดดี้) อายุ 34 ปี

จักษุแพทย์เฉพาะทางโรคจอประสาทตาและน้ำวุ้นตา

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

ผมมีวาดฝันอยากเป็นหมอตอนอายุประมาณ 15 ปีครับ

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

เหตุการณ์ที่ทำให้ผมอยากเป็นหมอเกิดจากการเสียชีวิตของพ่อผม พ่อของผมเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง ในตอนนั้นพ่อผมต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็คที่มาที่ไปของอาการที่เกิดขึ้นหลายรอบมาก แต่ก็หาสาเหตุไม่พบ กว่าจะรู้ว่าเหตุคืออะไรก็ใช้ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตพ่อผมได้ แต่เมื่อผมมาอยู่ในจุดของหมอผู้รักษาคน ผมก็ได้เรียนรู้และเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพ่อในวันนั้น เพราะบางโรคที่แสดงออกมาก็ไม่ตรงไปตรงมา ทำให้ใช้เวลาวินิจฉัยเป็นเวลานาน และอีกอย่างที่สำคัญที่ผมเลือกเดินทางสายแพทย์ก็คือ ผมอยากให้แม่ภูมิใจ อยากให้การเข้าสู่คณะแพทศาสตร์ของผมครั้งนี้เป็นรางวัลให้กับแม่ผู้ที่เป็น single mom ที่ทำทุกอย่างให้ผมมีความสุข

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

ครอบครัวมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากครับ เพราะสำหรับผมการที่จะเข้าคณะนี้ได้ผมต้องมีความพากเพียร อ่านหนังสือเยอะ แม่ก็คอยสนับสนุนทั้งด้านการเงินและด้านกำลังใจ สนับสนุนผมในทุกเรื่องๆ เท่าที่แม่คนนึงจะทำได้

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

เรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ในชั้นมัธยมศึกษาจนจบ ม. 6 และสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ เรียนต่อ 6 ปี เพื่อจะได้จบเป็นแพทย์  หลังจากนั้นเมื่อถือใบประกอบวิชาชีพจนครบ 3 ปี ก็สามารถเลือกเรียนเฉพาะทางได้ ส่วนตัวผมเลือกเรียนด้านจักษุแพทย์ เพราะผมมีความชอบและทำคะแนนได้ดีในวิชาตา

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

  • การสื่อสาร : เนื่องจากภาษาแพทย์เป็นภาษาที่อาจจะฟังเข้าใจยากหากคุณไม่มีความรู้ด้านนี้มาก่อน ดังนั้นการใช้ภาษาที่จะสื่อสารกับคนไข้นั้นต้องเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย
  • สามารถเสียสละเวลาส่วนตัวได้ : แน่นอนครับหมอทุกคนต้องสละเวลาส่วนตัว เพราะหากมีเคสฉุกเฉินขึ้นมา ถึงแม้ว่าคุณกำลังนอนพักผ่อนอยู่ คุณก็ต้องตื่นมาเพื่อช่วยชีวิตอีกชีวิตนึงขึ้นมา เพื่อทำให้ครอบครัวนั้นกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้งที่เขายังไม้สูญเสียคนที่เขารัก
  • ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์มีการอัพเดทตลอดเวลา เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

อาชีพสัตวแพทย์

สัตวแพทย์ อาชีพในฝัน

สัตวแพทย์หญิงศศิธร ประหลาดเนตร​ (วุ้น) อายุ 34 ปี

อาชีพสัตวแพทย์   โรงพยาบาลสัตว์สมายเพ็ทส์ เมืองเอก

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

น่าจะช่วงประมาณประถมศึกษาปีที่ 5

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

ช่วงประมาณประถมศึกษาปีที่ 5 ตอนนั้นเลี้ยงหนูแฮมเตอร์ แล้วด้วยวงจรชีวิตสัตว์ประเภทนี้ค่อนข้างสั้น แต่ ตอนนั้นบอกเลยว่าไม่มีความรู้ แต่จำได้เพียงว่าเสียใจกับการจากไปของหนูแฮมเตอร์ เลี้ยงมาหลายตัวก็อยู่กับเราไม่นาน เป็นการตายที่เราในวัยนั้นก็ไม่รู้สาเหตุการตาย เลยอยากจะเป็นหมอสัตว์เพื่อรักษาสัตว์ที่ตัวเองรัก เพื่อให้เขาได้อยู่กับเราเป็นเวลานานๆ นี่คือความคิดวัยเด็ก แต่พอโตขึ้นในวัยมัธยมก็อยากเป็นหมอ เมื่อเรียนมาถึงม.5  ทางโรงเรียนก็จัดกิจกรรมแนะแนวให้รุ่นพี่กลับมาแนะแนวน้องๆ มีพี่คนนึงเรียนสัตวแพทย์ ในวันที่นั่งฟังพี่คนนั้นให้ความรู้ ภาพ flash back หนูแฮมเตอร์ก็กลับมาอีกครั้ง นี่เป็นการทำให้ภาพเราชัดเจนขึ้นว่าอาชีพที่เราฝันก็ยังคงเป็น สัตวแพทย์

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

 การรักสัตว์ก็มาจากพื้นฐานที่บ้าน เพราะทุกคนในบ้านเรารักสัตว์ เลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมวจำนวนมาก และในยุคที่หนูแฮมเตอร์กำลังฮิต เราก็ขอพ่อแม่ว่าอยากเลี้ยง ท่านก็ซื้อมาให้เลี้ยง เลยทำให้เราคุ้นเคยกับสัตว์ และในส่วนของการเรียนอยากเรียนอะไรท่านก็สนับสนุน  

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง? 

 เรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ในชั้นมัธยมศึกษาจนจบ ม. 6 และสอบเข้าคณะสัตวแพทยศาสตร์ เรียนในรั้วมหาวิทยาลัยต่ออีก 6 ปี เพื่อจะได้จบเป็นสัตวแพทย์  หลังจากนั้นก็สามารถไปเรียนต่อเฉพาะทางได้เหมือนกัน เช่น ศัลยกรรม วางยาสลบ โรคหัวใจ โรคผิวหนัง พฤติกรรมสัตว์ เป็นต้น

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

สำหรับอาชีพนี้เนื่องจากไม่เพียงแค่เจอสัตว์เลี้ยงทั่วไปเช่น สุนัข แมว แล้วนั้น ยังต้องเจอสัตว์เลี้ยงพิเศษอย่างกระต่าย นก หนู เต่า งู กิ้งก่า เป็นต้น ดังนั้นคุณต้องรักสัตว์ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมโลก 

มากไปกว่านั้นการสื่อสาร ก็ถือเป็นหลักสำคัญของการเป็นสัตวแพทย์ เพราะต้องสื่อสารกับเจ้าของของสัตว์ถึงแนวทางการรักษา เพื่อให้ผู้เลี้ยงรู้ถึงขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นในการรักษาสัตว์ของเขา ดังนั้นตอนเรียนในมหาวิทยาลัย จึงมีการพรีเซ้นต์บ่อยมาก เพราะทางอาจารย์ผู้สอนต้องการให้นักศึกษาคุ้นเคยกับการสื่อสาร เพื่อใช้ภาษาทางการแพทย์ให้คนทั่วไปเข้าใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

อาชีพทันตแพทย์

ทันตแพทย์ อาชีพในฝัน

ทันตแพทย์หญิงเสาวลักษณ์ (ฟะ) อายุ 25 ปี

อาชีพ ทันตแพทย์ โรงพยาบาลบันนังสตา

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

จริงๆตั้งแต่เด็กๆจนถึงช่วงมัธยมมีหลายอาชีพมากที่ใฝ่ฝันอยากจะทำ พอถึงช่วงม.6 ซึ่งเป็นเวลาที่ต้องมีเป้าหมายชัดเจนและต้องตัดสินใจจริงจังว่าจะสอบเข้าคณะอะไร เลยได้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนคณะต่างๆที่ตัวเองสนใจในตอนนั้น ก็ได้ดูเกี่ยวกับการเรียนแพทย์ ทันตะ เภสัช วิศวะและบัญชี สรุปก็ตัดสินว่าอยากเรียนทันตะในที่สุด

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

รู้สึกว่าตัวเองชอบอาชีพนี้จริงๆตอนประมาณปี4 ซึ่งเป็นตอนที่ได้เริ่มรักษาคนไข้ เป็นความรู้สึกภูมิใจและดีใจมากๆที่ได้เอาความรู้ที่เรียนมา มาดูแลและช่วยเหลือคนอื่น

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

ส่วนใหญ่จะเป็นการช่วยให้กำลังใจ เพราะการเรียนค่อนข้างกดดันและเครียด นอกจากกำลังใจแล้ว ในช่วงปี4-6 ต้องหาเคสรักษาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน ซึ่งพ่อแม่ก็ช่วยมาเป็นเคสคนไข้ให้ แล้วก็ช่วยหาเคสที่เราต้องการให้ด้วยค่ะ 

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

จะเรียนทั้งหมด 6 ปี ปี1-3เป็นชั้น pre-clinic จะมีการเรียนเลคเชอร์และแลบ มีการฝึกทำงานในหุ่นจำลอง ปี 4-6 เป็นชั้น clinic จะเพิ่มการทำคนไข้เข้ามา ซึ่งปี4 เป็นช่วงเวลาที่มีการปรับตัวเยอะมาก จากที่ฝึกในหุ่นจำลอง ก็ต้องมาปฏิบัติในคนไข้จริง ซึ่งก็มีข้อจำกัดมากกว่าในหุ่นจำลอง ทั้งลิ้น น้ำลาย การอ้าปาก การเข้าไปทำหัตถการในตำแหน่งต่างๆ ดังนั้นจึงต้องมีการนำเอาทักษะที่ฝึกจากในหุ่นมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับการทำคนไข้จริงในคลินิก เพราะที่ฝึกมากับการทำคนไข้จริงไม่ได้เหมือนกัน100% และนอกจากทักษะทางทันตกรรมที่ต้องมีการพัฒนาแล้ว ทักษะการสื่อสารกับคนไข้และการจัดการในการลงคลินิกก็เป็นสิ่งสำคัญ ในการสื่อสารกับคนไข้ต้องแจ้งให้คนไข้ทราบว่าการรักษากับนักศึกษาเป็นอย่างไร ต้องรักษาอะไรบ้าง ต้องนัดกี่ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาทั้งหมดเท่าไหร่ โดยที่คณะทันตะมอ.จะให้นักศึกษาดูแลคนไข้แบบองค์รวม คือต้องดูแลคนไข้ในทุกๆด้านทุกๆสาขาที่คนไข้คนนั้นต้องรักษา ดังนั้นเราก็ต้องจัดการตารางการลงคลินิกแต่ละสาขาดีๆ

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

 หลักๆก็จะเป็นทักษะในการทำหัตถการต่างๆทางทันตกรรมและทักษะการสื่อสาร นอกจากนี้ก็ต้องมีการศึกษาอัพเดทความรู้ใหม่ๆ นำมาประยุกต์ใช้ในการรักษาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่คนไข้

อาชีพพยาบาล

พยาบาล อาชีพในฝัน

คุณอชิรญา เที่ยงธรรม (ผักหวาน) อายุ 28 ปี

อาชีพ พยาบาล Registered nurse of General practice 

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

คงจะเป็นช่วงอายุ 17 ปีค่ะ 

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

ด้วยพื้นฐานเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่แล้ว จะรู้สึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น และผนวกกับต้องย้ายมาเรียนต่างประเทศ ดังนั้นอาชีพพยาบาลถือว่าเป็นอาชีพที่เราเลือกจะเดินก้าวเข้าไป เพราะเป็นอาชีพที่ได้รับความยอมรับจากคนท้องถิ่นของประเทศนี้

เมื่อได้ทำงานในสายนี้การได้ช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยมา แล้วเห็นเค้ากลับมายิ้มและฟื้นตัวได้อีกครั้ง ถือว่าสร้างรอยยิ้มของเราได้ และทำให้เรามีแรงในการทำงานมากขึ้น

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

ครอบครัวมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากค่ะ เพราะเนื่องจากย้ายมาอยู่ต่างประเทศ ต้องมีการปรับตัวในหลายๆด้าน ดังนั้นกำลังใจจากครอบครัวถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากในตอนนั้นและในปัจจุบันด้วยเช่นกัน เพราะอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละ บางครั้งช่วยเหลือคนอื่น จนตัวเองท้อ แต่โชคดีที่ยังมีครอบครัวคอยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

เนื่องจากมาเรียนที่ต่างประเทศ ตอนมาต้องมาเรียนปรับภาษา หลังจากนั้นมาเรียน Foundation of Health Sciences เมื่อจบคอร์สจึงเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เรียนคณะพยาบาลศาสตร์

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

เป็นอาชีพพยาบาลที่ต้องมีความอดทน เสียสละเวลา เข้าใจคนอื่นให้มาก เพราะจะต้องเจอคนหลากหลายรูปแบบ และต้องเป็นคนละเอียด รอบครอบ เพราะสิ่งที่เรากำลังทำคือช่วยชีวิตคน ดังนั้นการผิดพลาดไม่ควรให้เกิดขึ้น

 

แนน เทศทอง

 แนน อายุ 34 ปี

พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

อาชีพยาบาลเข้ามาอยู่ในความคิดของเราตั้งแต่อายุประมาณ 16 ปีค่ะ

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

เริ่มต้นจากพ่อเป็นทหาร เห็นแบบอย่างการเป็นข้าราชการจากพ่อ ก็อยากเป็นแบบพ่อ เพราะพ่อทำงานหนัก เลยอยากให้พ่อแม่ภูมิใจและอาชีพนี้ได้ช่วยเหลือคนที่อื่น

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

ครอบครัวสนับสนุนการศึกษาในทุกๆด้าน และที่สำคัญอาชีพพยาบาลต้องเสียสละเวลา การได้รับกำลังใจจากครอบครัวจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ 

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

เรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ และสอบเข้าคณะพยาบาลศาสตร์ หลังจากจบหลักสูตรพยาบาล ก็ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพก่อนถึงจะเป็นพยาบาลวิชาชีพได้

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

ต้องเสียสละเวลาของคุณได้ค่ะ มีความเข้าใจผู้ป่วย เข้าใจชีวิตคนหนึ่งคน ซึ่งทำให้เราเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น, มีความอดทน อดกลั้น และกล้าในการตัดสินใจในเหตุการณ์คับขัน

อาชีพนักรังสีการแพทย์

นักรังสีการแพทย์

คุณวรัญรดา ชูสิงห์ อายุ 35 ปี

อาชีพ นักรังสีการแพทย์  โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

รู้จักคณะนี้ตอนประมาณ ม.5 มีพี่ๆ ม.6 ที่อยู่หอเดียวกันอยากสมัคร เลยได้แชร์ข้อมูลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และลักษณะการทำงานมาให้เราได้รู้ด้วย ทำให้รู้ว่า เป็นอาชีพที่คนกลัวไม่ค่อยกล้าสมัครมาเรียนกันเพราะคิดว่าอันตราย แต่พอลองหาข้อมูลเกี่ยวกับงานเลยทำให้รู้ว่านอกจากจะไม่อันตรายอย่างที่คิดแล้ว ยังได้ทำประโยชน์ช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยให้ได้มีโอกาสรักษามากยิ่งขึ้น เพราะเป็นงานที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมากๆ ทำให้รู้สึกสนุกที่จะเข้ามาเรียนและทำงานในสายอาชีพนี้

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

เอาจริงๆตอนเรียนก็ยังไม่ได้รู้สึกตอบโจทย์เท่าไหร่ แต่พอได้ลองมาฝึกงาน ทำงานจริงๆแล้วรู้สึกว่างานของเราเป็นประโยชน์ทั้งกับแพทย์และคนไข้มากๆเพราะถ้าแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยโรคของคนไข้ ก็ไม่สามารถรักษาต่อได้ ดังนั้นงานตรวจทางรังสีเทคนิคก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แพทย์สามารถตรวจและรักษาคนไข้ได้อย่างถูกต้อง ทำให้รู้สึกภูมิใจกับงานมากๆ ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาที่จะช่วยให้คนไข้หายเป็นปกติได้

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

พ่อกับแม่ให้อิสระกับการเลือกเรียนและการทำงานตลอด รวมทั้งคอยเป็นกำลังให้เสมอกับการเลือกของเราเพราะบางครั้งอาจจะมีอุปสรรคหรือบางครั้งก็ไม่อยากทำงานขึ้นมาอยู่บ้าง ก็มีพ่อกับแม่ที่ค่อยให้กำใจทำให้เรามั่นใจมากขึ้นและผ่านอุปสรรคเหล่านั้นมาได้

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

เรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ และสอบเข้าคณะรังสีเทคนิค 

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

อย่างที่บอกไปว่า เทคโนโลยีทางรังสีวินิจฉัย พัฒนาไปอย่างรวดเร็วมากๆการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจึงสำคัญมาก เราต้องเรียนรู้พัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงานอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญคือโรคใหม่ๆที่เกิดขึ้นมาเราก็ต้องอัพเดทให้ทันสมัยอยู่เสมอ

อาชีพครูวิชาชีพ

ครู อาชีพในฝัน

ครูพรฑิตา แสงรักษ์ (ตา) อายุ 28 ปี

ครูวิชาชีพ โรงเรียนบ้านต้นยวน

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

อายุประมาณ 6 ขวบ ค่ะ

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

สิ่งที่ทำให้รู้ว่าอยากเป็นครูนั่นก็คือชอบเล่นบทบาทสมมติเป็นคุณครู เมื่อตอนเป็นเด็กอยากไปรร.ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ครึ่ง เพราะอยากไปเล่นกับพี่ๆที่รร.พ่อเลยพาไปฝากไว้ที่รร.อนุบาล ด้วยการที่คุ้นเคยกับครู จึงชอบที่อยากจะเป็นครู

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

เมื่อตอนเป็นเด็กพ่อและแม่รู้ว่าเราอยากเป็นครู จึงซื้อของเล่น จำพวกอุปกรณ์การเรียนการสอนมาให้ เช่น ชอล์ค สี สมุดหัดวาดรูป หนังสือนิทาน กระดานดำ 

ครอบครัวสนับสนุนการเรียนมาตลอดค่ะ นอกจากนั้นหากอยากจะเข้าค่ายส่งเสริมศักยภาพ พ่อแม่ก็คอยสนับสนุนเช่นกันค่ะ

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

เรียนคณะครุศาสตร์ หรือศึกษาศาสตร์ค่ะ  

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

จิตวิทยาการศึกษา ต้องเข้าใจความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคน เพราะเด็กนักเรียนแต่ละคนมีการรับสารของแต่ละคนที่แตกต่างกัน จึงต้องมั่นใจว่านักเรียนทุกคนเข้าใจจุดประสงค์ของเนื้อหา, หมั่นทำสื่อการเรียนการสอนให้น่าสนใจ ดึงดูดให้นักเรียนสนใจ,  รักเด็ก มีจิตใจโอบอ้อมอารี, อัพเดทความรู้ใหม่ๆตลอดเวลา เพื่อให้นักเรียนได้รับข้อมูลที่สดใหม่

อาชีพแอร์โฮสเตส

แอร์โฮสเทส อาชีพในฝัน

คุณมนัสวี อาจารีพิพัฒน์ (พลอย) อายุ 28 ปี

อาชีพ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน  สายการบินEmirates (เอมิเรตส์)

 รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

ช่วงประถมศึกษาปีที่ 2 อายุประมาณ 8 ขวบ

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

ตอนประถมศึกษาปีที่คุณแม่และเราไปกรุงเทพ และครั้งนั้นคือการนั่งเครื่องบินของเราครั้งแรกในชีวิต โดยเราได้โดยสารด้วยเครื่องบินของสายการบินพีบีแอร์ และมีความประทับใจในการบริการ ด้วยความเป็นเด็กก็เห็นว่าพี่ๆพนักงานสวยและใจดีมาก เลยอยากเป็นแบบเค้าบ้าง  แต่ในตอนนั้นก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นได้ เพราะคิดว่าตนเอง ผิวคล้ำเกินไป และไม่สวย 

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

ครอบครัวสนับสนุนทุกๆอย่างที่เราอยากจะเรียน และสนับสนุนกิจกรรมทุกอย่างที่เราอยากทำ เพื่อให้เราได้ค้นหาตนเอง และให้เลือกทางเดินของเราตั้งแต่เด็ก เช่น ตอนเป็นนักเรียนก็จะชอบเรียนภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ แม่ก็ช่วยส่งเสริมในการซื้อสื่ออุปกรณ์การเรียนที่มาส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษามาให้  และส่งไปเข้าค่ายทำกิจกรรมเสริมทักษะภาษาในช่วงปิดภาคเรียนด้วย

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

สายการบินที่ทำอยู่ไม่ได้มีการจำกัดวุฒิการศึกษา แต่ผู้สมัครต้องอายุเกิน 21 ปีขึ้นไป ,สามารถว่ายน้ำได้ และที่สำคัญคือสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ ฟัง พูด อ่าน เขียนได้เป็นอย่างดี เพื่อใช้ในการสื่อสารกับผู้โดยสารต่างชาติ และเพื่อนร่วมงาน

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

เนื่องจากอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องให้บริการผู้โดยสาร ดังนั้นต้องมีใจรักการบริการ,ช่างสังเกตและใส่ใจ เรียนรู้ไว ไหวพริบดี และต้องปรับตัวได้ง่าย, สามารถทำงานเป็นทีมได้ บริหารเวลาเป็น และที่สำคัญคือการเรียนรู้และเปิดใจกับวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซึ่งมีอะไรใหม่ๆให้เราได้เรียนรู้ในทุกๆวัน ไม่ว่าจะเป็นจากผู้โดยสาร หรือลูกเรือเองก็ตาม

อาชีพตำรวจ

ตำรวจ อาชีพในฝัน

 นายตำรวจ ต้นไม้ อายุ 32 ปี

อาชีพ  ตำรวจ

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

ผมรู้สึกว่าผมชอบในอาชีพนี้ตอนอายุประมาณ 17 ปีครับ

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

ในสมัยตอนเด็กเมื่อดูละคร สิ่งที่ทำให้ผมอยากดูก็คงจะเป็นตอนที่มีบทบาทของตำรวจอยู่ในตอนนั้นๆ ผมเห็นถึงสิ่งที่ตำรวจต้องปฏิบัติคือคอยช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก จับคนร้ายมาลงโทษ ผมคิดว่ามันเท่ห์ดีครับ และผนวกกับผมมีญาติรุ่นพี่คนนึงมาอาชีพเป็นตำรวจ เมื่อได้คุยสอบถามข้อมูลการเรียน การทำงานในเส้นทางสายนี้ยิ่งทำให้เห็นเป้าหมายที่อยากเป็นตำรวจชัดเจนยิ่งขึ้น 

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

ครอบครัวผมให้อิสระทางด้านความผมมาตลอดครับ เมื่อผมเลือกที่จะเดินเส้นทางสายนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนทั้งทางกาย ใจ ทุนทรัพย์ เพื่อให้ผมได้ทำตามความฝันของตัวเอง

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

ถ้าหากถามว่าการสมัครเข้าเป็นตำรวจต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง อันนี้ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม เพราะตำรวจแต่ละสังกัดจะมีมีคุณสมบัติในการรับที่แตกต่งกันไป แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในสายการเรียนนี้แล้ว สิ่งที้ต้องหลักๆคือวิชานิติศาสตร์ซึ่งว่าด้วยกฎหมายต่างๆ เสริมด้วยรัฐประศาสนศาสตร์,รัฐศาสตร์ เป็นต้นครับ

 ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

ต้องมีใจรัก เคารพและยืนยัดในความถูกต้อง ไหวพริบปฏิภาณต้องดี 

ส่วนสิ่งที่ต้องมาฝึกฝนเพิ่มเติมก็คือทักษะการป้องกันตัว การใช้อาวุธ การสืบสวน สอบสวน ความรู้เฉพาะอาชีพทางครับ

อาชีพนักวิจัย

คุณจตุพร ชัยยุทธ อาชีพในฝัน

คุณจตุพร ชัยยุทธ (จุ๋ม) อายุ 35 ปี

อาชีพนักวิจัย สังกัดสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลเกษตรฯ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

คำถามนี้ตอบยากอ่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วรักและอยากทำอาชีพนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เรียนป.โทไปได้สักพัก น่าจะอายุประมาณ 25 – 26 ปี ซึ่งถือว่ารู้ตัวเองช้าเหมือนกัน แต่มันเริ่มต้นมาจากความชอบก่อนมากกว่า 

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง คือตอนเด็กๆ ไม่เคยคิดถึงอาชีพนี้เลยไม่รู้จักด้วยซ้ำ อาจจะรู้จักในชื่ออาชีพนี้ลักษณะว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ล่ะมั้ง ตอนมัธยมรู้แต่ว่าไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษก็เลยเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ ตอนใกล้จะจบมัธยมปลายอยากเรียนพยาบาล แต่ไม่รู้ว่าใจจริงๆตัวเองอยากเรียนเองหรืออยากเรียนเพราะที่บ้านอยากให้เรียน โดยโชคชะตาทำให้สอบพยาบาลไม่ติดซะงั้น 😊 

ตอนที่เข้าเรียนมหาลัยแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปจะไปทำงานอะไร ถ้าตรงสายหน่อยก็เป็นผู้จัดการโรงงานที่เกี่ยวกับยางพาราอ่ะนะ แต่การฝึกงานทำให้รู้ว่าเราไม่ได้ชอบการทำงานโรงงานเลยสักนิด ช่วงปี 4 ตอนเรียนป.ตรีมีโอกาสได้มาทำโปรเจคกับทีมนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตอนนั้นแหละที่ทำให้เรารู้ว่าเราชอบที่จะทำงานในห้องปฎิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ชอบมากตื่นเต้นกับการใช้เครื่องมือ ตื่นเต้นกับผลการทดลอง ตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงของตัวอย่าง สุดท้ายก็ได้รับโอกาสจากทางพี่ๆนักวิจัยให้มาร่วมงานในฐานะนักศึกษาปริญญาโท มันมีความรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นกับการได้ทำงานชิ้นๆนึงตั้งแต่เริ่มต้นจนได้มาเป็นเล่มรายงานฉบับสมบูรณ์ ทีมวิจัยที่เราได้ทำงานด้วยมีแต่คนเก่งๆ ทั้งอาจารย์คนไทยและอาจารย์ชาวฝรั่งเศส พวกเค้าสอนความรู้ต่างๆให้เราเยอะมาก และนี่แหละจุดเริ่มต้นที่อยากเป็นนักวิจัย เราอยากเก่งเหมือนอาจารย์เค้า เราอยากมีงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง อยากทำเต็มรูปแบบไม่ใช่แค่ทำการทดลองแล้วส่งผลการทดลองไปให้เจ้านาย (ซึ่งนั่นเค้าเรียกว่า อาชีพ Technician ไม่ใช่ Researcher) เราอยากคิดอยากหาเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างการทำการทดลอง เราอยากแปลผลการทดลองเอง อยากรู้มากขึ้น (สรุปคืออยากรู้นั่นแหละ^^) เคยเป็นมั้ย? ทำงานเหนื่อยแค่ไหนก็ยังมีความสุขอ่ะ นี่แหละที่ทำให้รู้ว่ารักอาชีพนี้เข้าซะแล้ว 

สุดท้ายจบป.โทก็เลือกสมัครทำงานที่นี่ในตำแหน่งนักวิจัย ที่ห้องปฎิบัติการที่เคยทำงานวิจัยทั้งป.ตรีและป.โท อย่างไรก็ตามการเป็นนักวิจัยสำหรับเราตอนนั้นก็ยังคงต้องฝึกฝนและเรียนรู้อีกเยอะ แต่ยังไม่ทันได้มีโปรเจคเป็นตัวเองสักชิ้นก็ลาเรียนต่อปริญญาเอกซะก่อน

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

ด้วยพื้นฐานครอบครัวมาจากอาชีพเกษตรกร จริงๆพวกท่านไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าอาชีพนักวิจัยคืออะไร แล้วทำอะไรบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่มีส่วนร่วมในเส้นทางอาชีพนี้ของเราโดยที่เค้าก็ไม่รู้ตัวคือ เค้าสนับสนุนเรามาตลอดในเรื่องของการเรียนในทุกๆระดับ เราสามารถเลือกและตัดสินใจเองได้ ปล่อยเราให้ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ โดยไม่เคยกดดันเราเลยที่เราใช้เวลาเรียนนาน^_^! แต่ก็มีบ้างตามธรรมดาของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกทำงานมั่นคง รับราชการและกลับไปหางานทำที่บ้าน แต่ด้วยเรายืนยันหนักแน่นว่าเรารักอาชีพนี้และคงไปหาทำแถวบ้านไม่ได้จริงๆ เราไม่ได้อยากจะเป็นอาจารย์สอนเด็กมหาวิทยาลัยเหมือนที่คนอื่นๆบอก แต่เราอยากเป็นนักวิจัยมากกว่า ช่วงนี้เค้าก็เลยปล่อยๆเราให้ทำงานที่เรารักไปก่อน 😊 

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

อืมมม คำว่านักวิจัยมันกว้างนะ คุณอยากเป็นนักวิจัยสาขาไหนล่ะ อยากเชี่ยวชาญทางด้านไหนล่ะ ก็เลือกเรียนเอา นักวิจัยสายอื่นๆนอกเหนือจากสายวิทยาศาสตร์ก็มี ทุกสายเป็นนักวิจัยได้หมดแหละ จริงๆเราก็ไม่ได้เรียนตรงสายอะไรมานะถ้าเทียบกับงานที่ทำปัจจุบัน ตอนเรียนปริญญาตรีก็ไม่ได้มีวิชาที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เฉพาะทางเยอะมากนัก แต่การที่เราชอบหรือรักกับอะไรที่ทำอยู่มันจะกระตุ้นให้เราศึกษาในสิ่งที่เราสนใจเพิ่มมากขึ้นเอง การรู้ลึกมากขึ้นในสิ่งที่เราสนใจจะช่วยได้เยอะในอาชีพนี้ และอีกอย่างสำหรับเราเราคิดว่าในปัจจุบันนี้คำว่าดร.นำหน้าทำให้เสียงของอาชีพนักวิจัยอย่างเราดังขึ้น ไม่ได้เป็นการข่มใครนะ แต่คนจะหยุดฟังเรามาขึ้นเมื่อชื่อเรามีคำว่าดร. หลังจากที่เค้าฟังเราแล้ว เค้าจะเป็นคนพิจารณาเองว่าเรามีของหรือไม่ ดังนั้นสิ่งสำคัญในอาชีพนี้เราคิดว่ามันคือการพัฒนาตัวเองเสมอๆ การเรียนใฝ่หาความรู้ให้เยอะ อ่านให้เยอะ การลงมือปฎิบัติให้เยอะ และเปิดใจยอมรับกับความรู้ใหม่ๆ อย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว แต่สำหรับคนที่รู้ตัวเองเร็วว่าอยากทำอาชีพนี้ขอแนะนำว่า ถ้ารักสายเคมีก็เรียนเคมี รักสายสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นก็เรียนจุลชีววิทยา รักสายมนุษย์ก็เรียนคณะมนุษศาสตร์ เป็นต้น แต่อาชีพนี้ต้องมีการฝึกฝนทักษะอื่นด้วยเหมือนกันนะ ทำงานได้ดีแต่นำเสนองานไม่เป็นก็จบ

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

ในความคิดเรานะศักยภาพที่นักวิจัยต้องมีคือ การคิดและวางแผนให้เป็นระบบ มีการแสดงความคิดเห็น ชอบสังเกต ขี้สงสัย ชอบตั้งคำถามและซักถาม และที่สำคัญคือพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ส่วนในเรื่องการฝึกฝนอะไรที่ขึ้นชื่อว่าทักษะเราฝึกฝนเพิ่มเติมได้เสมอ ยังไม่มีประสบการณ์ยังไม่เชี่ยวชาญเราก็สามารถฝึกฝนกันได้

ทิ้งท้าย เราตั้งเป้าหมายให้เก่งเหมือนคนอื่นๆได้ แต่อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับใคร อะไรที่เราทำในวันนี้ได้ดีกว่าเมื่อวานก็คือการพัฒนา ทุกความพยายามจะมีความสำเร็จเป็นรางวัล แค่ต้องถามตัวเองว่าเราพยายามกับสิ่งสิ่งนั้นมากพอแล้วหรือยัง

อาชีพทนายความ

ทนาย อาชีพในฝัน

คุณธนากร นิ่มรัตน์ (ทา) อายุ 34 ปี

ทนายความ   สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

ช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 5

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

คือผมอยากทำงานที่มีความมั่งคง มีเกียรติ ซึ่งจึงฝันอยากเป็นผู้พิพากษา เพราะผมรู้ว่าการที่จะโตในสายงานสายนี้ไม่ต้องพึ่งเส้นสาย แต่ต้องมีความขยันหมั่นเพียร ดังนั้นหากมาจากครอบครัวที่ไม่ได้มั่งคั่งก็สามารถใช้ความขยันที่มีอยู่พาตัวเองไปยังตำแหน่งผู้พิพากษาได้ ผมจึงเลือกเรียนสายนิติศาสตร์ แต่เมื่อผมเรียนมาถึงปี 3 ความฝันของผมเริ่มเปลี่ยน เพราะผมไปรับรู้เหตุการณ์หนึ่ง ผมได้ไปเยี่ยมปู่ที่โรงพยาบาล มีผู้ชายเตียงข้างๆดิ้นทุรนทุราย ส่งเสียงโวยวาย ผมเกิดความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เลยถามครอบครัวเขา ก็ได้ความว่า ผู้ชายเอาที่ดินไปจำนอง แต่ก็โดนหลอก เพราะเอกสารที่เซ็นนั้นไม่ใช่เอกสารจำนอง แต่เป็นเอกสารขายฝาก ที่ดินผืนนั้นจะบ้านที่อยู่ก็โดนยึด จึงทำให้เกิดความเครียดเขาเลยตัดสินใจดับชีวิตตัวเอง แต่ยังโชคดีที่มีคนมาช่วยทัน แต่อาการก็ยังไม่สู้ดีนัก นี่คือจุดเปลี่ยนของอาชีพของผม และมีความชัดเจนขึ้น ผมอยากเป็นทนายความ  ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน เพราะผมคิดว่าหากวันนั้นผู้ชายคนนั้นรู้จักทนาย หรือรู้กฎหมาย เขาคงไม่ตัดสินใจดับชีวิตตัวเอง

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

ครอบครัวสนับสนุกทุกๆอย่าง ให้อิสระในความคิด การเรียนนิติศาสตร์ หนังสือที่นำมาใช้ในการศึกษาค่อนข้างเยอะและราคาแพงครับ  แต่ครอบครัวก็ยังช่วยเหลือเสมอ

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

เรียนคณะนิติศาสตร์ เมื่อจบปริญญาตรี สิ่งที่ต้องทำคือสอบใบอนุญาตว่าความ ที่สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความของสภาทนายความ เมื่อเสร็จสิ้นขบวนการก็ขึ้นทะเบียนเป็นทนายความได้เลยครับ

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

ความขยันหมั่นเพียร เพราะต้องอ่านหนังเยอะมากครับ หาความรู้และอัพเดทความรู้ใหม่ๆเสมอครับ เพราะกฎหมายมีการเปลี่ยนแปลงตลอด  ,แก้ไขเเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ ไหวพริบปฏิภาณดี , สามารถทำงานภายใต้แรงกดดันได้ดี และสิ่งนึงที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน 

อาชีพโปรแกรมเมอร์

อาชีพโปรแกรมเมอร์

คุณกัปปิยภัณฑ์ หนูดาษ  (แบงค์) อายุ 34 ปี

Manager Director  (MD) และ Chief Information Officer (CIO) 

บ. LOWELL TECH COMPANY LIMITED

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้ ?

ในวันเกิดปีที่13  พ่อซื้อคอมพิวเตอร์ให้เป็นของขวัญวันเกิด แต่ใจจริงแล้วผมอยากได้เกมส์ PlayStation แต่ทำไงได้ล่ะครับ ตอนนั้นคิดว่าก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เล่นเกมส์จากคอมพิวเตอร์ก็ได้  และในตอนนั้นก็จะมีเกมส์ที่สามารถเล่นออนไลน์ได้ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายแบบกดเข้าไปแล้วสามารถเล่นได้เลย ผมต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเน็ตเวิร์คเบื้องต้น เพื่อที่จะลงเกมส์บนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกชองผม เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่อยากจะลองลง windows ให้ได้ ลงเกมส์ให้เป็น และรวมไปถึงการจัดการเน็ตเวิร์ค

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

ผมรู้ว่าเมื่อผมได้ทำอะไรแล้ว เวลาผ่านไปเร็วและไม่ได้รู้สึกเบื่อกับสิ่งที่ทำ มันก็คือสิ่งที่เราชอบ ผมเริ่มสนุกกับการทำเขียนซอฟแวร์ต่างๆ และอยากหาความรู้เพิ่มไปเรื่อยๆ เพื่อทำงานที่ซับซ้อนและยากขึ้น  ผมรู้สึกสนุกที่ได้ท้าทายโจทย์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นในการทำงานของผม 

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

ก็คงจะเริ่มจากการซื้อคอมพิวเตอร์ให้เป็นชองขวัญวันเกิด ผมเองก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าในวันนั้นถ้าพ่อซื้อเกมส์ PlayStation ให้ผมในนั้น ผมจะมาสู่เส้นทางงานนี้หรือไม่ เมื่อเส้นทางของผมเริ่มชัดเจนแล้วว่าจะมาทางสายโปรแกรมเมอร์ ทางบ้านก็สนับสนุนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการอัพเกรดคอมพิวเตอร์ ซื้อหนังสือที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ให้ และอีกท่านนึงในครอบครัวผมที่มาทำให้ผมเดินทางสายนี้ได้เร็วแบบก้าวกระโดดนั่นก็คืออาของผม ที่เป็นเจ้านายคนแรกที่รับผมเข้าทำงาน และสอนงานผมทุกอย่าง อย่างไม่กั๊ก 

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

หลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์,  วิทยาการคอมพิวเตอร์ และสาขาที่เกี่ยวกับการเขียนซอฟแวร์ทั้งหลาย

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี หรือต้องฝึกฝนเพิ่มเติมในการทำอาชีพนี้ ?

  1. ต้องเป็นคนมีวินัยในสิ่งที่ทำ 
  2. ต้องเป็นคนที่ชอบเทคโนโลยีและติดตามอยู่เสมอ เพราะเทคโนโลยีอัพเดดทอยู่ตลอดเวลา
  3. ต้องทุ่มเทเวลา ให้กับงาน ให้ทันเวลาส่งให้ลูกค้า
  4. การสื่อสารกับลูกค้าโดยต้องเข้าใจเป้าหมายงานที่ลูกค้าต้องการ คิดทบทวนและสื่อสารให้ทีมงานเข้าใจไปในทางเดียวกัน เพื่อให้ได้ผลงานตามที่ลูกค้าต้องการ

อาชีพ Camera control unit

อาชีพช่างภาพ​ อาชีพในฝัน

คุณศรัณย์​ ลักษณ์​ลาวัณย์​ (บูม) อายุ 30 ปี

อาชีพ Camera control unit  บริษัท​ แมน​อิน​โมชั่น

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

ของผมอาจจะช้าหน่อยนะครับที่รู้ว่าชอบอาชีพนี้ น่าจะอายุประมาณ 25 ปี

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

ผมต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้เรียนมาสายงานวิดีโอมาโดยตรง แต่ผมเรียนสายที่เกี่ยวข้องนั่นก็คือ สายภาพนิ่ง จึงทำให้ผมสามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาปรับกับการทำงานสายงานวิดีโอได้ ซึ่งก็เป็นการเปิดเส้นทางชีวิตใหม่ของผม ที่ผมอาจจะไม่ได้วาดฝันอาชีพนี้ไว้ในตอนแรก แต่ตอนนี้ผมตกหลุมรัก และสนุกกับการทำงานนี้ทุกวัน อีกอย่างหนึ่งคือเพื่อนร่วมงานที่ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ทำให้บรรยากาศในการทำงานดีและสนุกสนาน 

รายการที่ผมเป็นหนึ่งในทีมงานอยู่ ตอนนี้ก็คือ ศึกวันดวลเพลง , บริษัทฮาไม่จำกัด และยังจัดคอนเสริตแนว EDM ด้วยครับ

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

 ครอบครัวผมให้อิสระในการเลือก ผมอยากเรียนอะไรท่านก็สนับสนุน เพราะในสายภาพนิ่งผมเรียน อุปกรณ์ที่ต้องซื้อมาใช้ในการเรียนมีเยอะและค่อนข้างแพง แต่ท่านก็สนับสนุน ช่วยเหลือเต็มที่ตามที่พ่อแม่คนนึงจะทำให้ความฝันลูกเป็นจริงได้ครับ แต่เมื่อผมเลือกเดินสายอาชีพที่ไม่ตรงกับที่เรียนมาโดยตรง ท่านก็ยังคงให้กำลังใจ เพราะท่านรู้ว่าผมสนุกกับงานที่ทำ อีกคนนึงที่ช่วยผมเป็นอย่างดีนั่นก็คือญาติรุ่นพี่ที่ทำงานสายนี้มาก่อน ผู้ที่ชักชวนผมเข้าวงการอาชีพนี้ ต้องขอบคุณเขาที่ให้มองเห็นศักยภาพในตัวผม และหยิบยื่นโอกาสให้ผม

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

ถ้าจะเอาให้ตรงสายสำหรับอาชีพนี้ก็คือ นิเทศศาสตร์ ครับ แต่สายที่เกี่ยวข้องที่สามารถทำได้ก็มีมากมายครับ เช่นช่างอิเล็คทรอนิค วิศวกรรมศาสตร์ไฟฟ้า เป็นต้นครับ

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

เนื่องจากมาทำงานไม่ตรงสายกับที่เรียนจบมา ดังนั้นผมต้องทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว เรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่ผมไม่รู้มาก่อน , ตรงต่อเวลา เพราะงานนี้เกี่ยวข้องกับทีมงานหลายคนมากครับ ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหน้า เบื้องหลัง

อาชีพช่างตัดผม

ช่างตัดผม อาชีพในฝัน

คุณพรพรหม เหมทานนท์ (อวน) อายุ 34 ปี

อาชีพ ช่างตัดผม   ไบเล่ เดอะ บาร์เบอร์

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

สำหรับผมสิ่งที่ผมชอบคือศิลปะ ดนตรี ส่วนการตัดผมนั้นไม่ได้อยู่ในความคิดเลยครับ แต่สิ่งที่ผมชอบในการตัดผมในฐานะลูกค้า

นั่นก็คือ การที่ผมนั่งบนเก้าอี้ตัดผม เห็นช่างตัดผมใช้กรรไกรตัดผมและมีเสียงชั๊บที่เกิดจากใบมีดคมๆเมื่อตัดผม และเห็นเส้นผมหลังการตัดที่มีการจัดทรงอย่างเรียบร้อย นั่นคือความรู้สึกที่มีมาตลอดตั้งแต่เด็กๆจนถึงปัจจุบัน 

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

ผมไม่ได้เรียนมาสายนี้โดยตรง และสิ่งที่ผมเรียนมาก็ไม่ใกล้เคียงกับอาชีพนี้เลยครับ อย่างที่บอกตอนแรกล่ะครับว่าชอบความรู้สึกของการตัดผม และเมื่อผมทำงานก็มีรุ่นพี่ชักชวนมาทำให้เป็นช่างตัดผม (เขาคงเห็นอะไรในตัวผม ที่ผมไม่รู้ตัวมาก่อนว่าผมมี) ผมเริ่มเส้นทางด้วยความสนุกกับงาน ความรู้สึกที่เห็นเส้นผมที่ไม่เป็นทรง ได้ตัดด้วยกรรไกรที่มีใบมีดคมๆ  ยังคงมีอยู่ แต่ครั้งนี้มันเกิดในฐานะของช่างตัดผม  

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทาง อาชีพในฝัน นี้อย่างไรบ้าง?

ครอบครัวของผมให้อิสระกับผมมาตลอด และสนับสนุนผมในทุกเส้นทางที่ผมเลือกเดิน แต่ขอให้เส้นทางนั้นเป็นเส้นทางที่ไม่เบียดเบียนคยอื่น ไม่เป็นภัยกับสังคมก็พอ

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

หากไม่ได้เรียนมาโดยตรง ก็สามารถลงเรียนที่ศูนย์ฝึกอาชีพในแต่ละจังหวัด ด้วยอาชีพนี้เป็นอาชีพที่เน้นการปฏิบัติ สำหรับผม ผมคิดว่าถ้าจะมาในสายอาชีพนี้สามารถฝึกฝนกันได้ครับ ขอให้มีใจรัก

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

  • จรรยาบรรณถือว่าเป็นสิ่งคำคัญครับ เพราะเมื่อทำการตัดผมลูกค้าบางท่านก็ไม่เห็นทรงผมข้างหลังอย่างชัดเจนเท่าไหร่ แต่ช่างตัดผมจะเป็นผู้ที่เห็นชัดดังนั้นก็ต้องไม่ละเลยส่วนที่ยังไม่เรียบร้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นส่วนเล็กๆน้อยๆ และอุปกรณ์ที่ใช้ต้องสะอาด ทำความสะอาดทุกครั้งหลังใช้งาน
  • การสื่อสาร ต้องทำวามเข้าใจ และสอบถามลูกค้าให้แน่ชัด เพื่อผลลัพธ์ของทรงผมที่จะออกมา

อาชีพวิศวกรสิ่งแวดล้อม

อาชีพนักสิ่งแวดล้อม อาชีพในฝัน

คุณเกศแก้ว ปานสมุทร์ (ปุ้ย) อายุ 34 ปี

อาชีพวิศวกรสิ่งแวดล้อม . VSE Consultant Ltd .

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

น่าจะประมาณช่วงอายุ 15 ปีค่ะ

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

ในช่วงที่เราอายุประมาณ 15 ปี มักจะมีข่าวปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเยอะมาก และประจวบกับบ้านอยู่ในบริเวณที่มีการประกอบการของโรงงานเยอะ เลยอยากทำงานที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ปรับสภาพแวดล้อมดีขึ้น

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทาง อาชีพในฝัน นี้อย่างไรบ้าง?

ครอบครัวมีส่วนช่วยในการสนับสนุนทางการเรียนในทุกๆเรื่องค่ะ โดยจะพาเข้าร่วมค่ายกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เด็กๆ 

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

เรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ หลังจากนั้นเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรต่างๆ

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

ต้องรู้จักสังเกต รู้จักการวิเคราะห์สิ่งต่างๆรอบตัว ต้องติดตามกฎหมายเกี่ยวกับด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีต่างๆ เนื่องจากมีการอัพเดทของกฎหมายและเทคโนโลยีตลอดเวลา

 

อาชีพทำร้านเบเกอรี่

 

อาชีพทำเบเกอรี่ อาชีพในฝัน

คุณเชิญตะวัน สุวรรณพานิช (นิม)

อาชีพ ทำร้านเบเกอรี่ชื่อว่าร้าน Tomato’s baby (ig tomatobaby.bkk) และทำงานประจำด้าน Corporate communications

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

รู้ตัวมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะว่าอยากทำร้านขนม ตอนอายุน่าจะประมาณ 10-12 ปี แต่ตั้งแต่เรียนจบทำงานประจำด้านการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์และด้านภาษามาตลอด แต่เมื่อ 1-2 ปีก่อนเริ่มอยากทำธุรกิจของตนเองเป็นงานที่สอง เลยแบ่งเวลาว่างจากงานประจำมาคิดสูตรปรับสูตรขนมไปมา และคิดแพคเกจ คิด concept ของร้านอยู่ 1 ปีกว่า จึงค่อยเปิดร้านค่ะ

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

รู้ว่าชอบเพราะมาจาก passion ที่มีมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนเด็กๆ เป็นคนชอบอ่านหนังสือเพราะที่บ้านมีหนังสือเยอะมากและชอบทานขนมมาก โดยเฉพาะเบเกอรี่ กับชา นอกจากนี้คุณพ่อยังเคยเปิดร้านอาหารชื่อว่า book and beer ซึ่งเป็นร้านอาหารที่เป็นร้านหนังสือด้วยในตัว จึงได้นำแรงบันดาลใจจากร้านของคุณพ่อ รวมทั้งความชอบเบเกอรี่ หนังสือ วรรณกรรมที่เคยอ่าน ตอนเด็กๆ และสมัยที่เรียนที่คณะอักษรฯ จุฬาฯ มาผสมผสานเป็นconcept ของร้าน Tomato’s baby โดยทุกเมนูของร้านจะตั้งชื่อตามชื่อหนังสือ แต่ละเมนูก็จะได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือแต่ละเล่ม

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทาง อาชีพในฝัน นี้อย่างไรบ้าง?

มีส่วนอย่างมาก เพราะตอนเด็กๆ ถูกเลี้ยงมาด้วยหนังสือ คุณแม่จะอ่านนิทานให้ฟังตั้งแต่เด็ก รวมทั้งได้รับแรงบันดาลใจจากร้านของคุณพ่อ และตอนที่เริ่มทำร้าน เริ่มคิดสูตรก็ให้ที่บ้านช่วยกันชิมทุกครั้ง กว่าจะออกมาเป็นขนมแต่ละเมนู

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

นิมไม่เคยเรียนทำเบเกอรี่เลยค่ะ แต่เรานำสิ่งที่เรียนในด้านอักษรศาสตร์ และการทำงานด้าน PR มาใช้ในการคิด concept และช่วยในการ promote ร้าน ส่วนเบเกอริ่นิมฝึกทำเอง โดยแต่ละเมนูปรับสูตรไปมาไม่ต่ำกว่า 5-10 ครั้ง บางตัวปรับเป็น 20 ครั้งก็มี ด้วยความที่ไม่เคยเรียนตอนแรกเลยเริ่มแบบไม่มีความรู้เลย เราก็เริ่มหาความรู้จาก internet และสรุปข้อมูลจาก source ต่างๆ เก็บไว้อย่างเป็นระบบ เมื่อลงมือทำไปจะเริ่มเรียนรู้เองว่าการทำเบเกอรี่ก็อิงอยู่กับหลักวิทยาศาสตร์ จะเริ่มเรียนรู้ว่าแต่ละเมนูควรใส่อะไรกี่ส่วน ควรเพิ่มอะไรจึงออกมาลงตัว แต่จริงๆแล้วสำหรับใครที่อยากทำร้านบเกอรี่ไปลงเรียนหรือเรียนหลักสูตรเบเกอรี่ก่อนก็จะดีค่ะ น่าจะได้เคล็ดลับต่างๆ และใช้เวลาในการคิดสูตรน้อยกว่านิม นิมเองก็คิดว่าจะไปเรียนเพิ่มเติมเช่นกันค่ะ

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

คิดว่าพื้นฐานที่ต้องมีคือ 1. จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ 2.เหตุผลและ ความคิดที่เป็นระบบ และ3. ความใจเย็น ความตั้งใจ

ประการแรก จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ก่อนอื่นคือต้องใช้จินตนาการ ต้องคิดออกมาก่อนว่าภาพรวมของร้าน storytelling และ concept ของร้านจะเป็นอย่างไร ทำให้ร้านดูน่าสนใจ เพราะถ้าเราไม่มีจุดขาย ไม่มีความแตกต่าง ลูกค้าก็อาจจะมองไม่เห็นว่าร้านเราของต่างจากร้านอื่นอย่างไร อย่างของร้านนิมจะใช้หนังสือและงานศิลปะมาเป็นธีมของแต่ละเมนู และคิดเมนูที่ ไม่ค่อยมีคนทำ อย่าง soft cookie เราจะไม่ทำรสทั่วไป เช่น รสกล้วยอัลมอนต์ครีม รสสตรอว์เบอร์รี่ครีมชีส โดยเฉพาะรส signature คือ รส tomato bacon and cheese ที่เราใส่ซอสมะเขือเทศสูตรพิเศษของเราเข้าไปในแป้ง ก็จะกลายเป็นของคาว เป็นรสที่ขายดีที่สุดด้วยค่ะ

ประการที่สอง คือ ต้องรู้จักใช้เหตุผลและมีความคิดที่เป็นระบบ จะทำตามอารมณ์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีการจัดการวัตถุดิบ การตั้งราคา จัดระบบการรับ order มีการเก็บข้อมูลต่างๆที่ดีและเหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องทำการ survey สำรวจความเห็นของลูกค้า หรือทำแล้วให้คนรอบตัวช่วยชิมกันหลายๆ คน คือจะทำตามใจตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ ต้องเปิดใจให้กว้าง เพราะความอร่อยเป็นเรื่องของปัจเจก บางคนบอกอร่อย บางคนบอกไม่อร่อย แต่เราต้องพยายามหาค่ากลางหรือตามเสียงส่วนมาก บางเมนูเจ้าของร้านเองอาจไม่ชอบแต่ลูกค้าชอบกันเยอะมาก ต้องอิงตามนั้น

นอกจากนี้ยังต้องมีความอดทน ความตั้งใจด้วยค่ะ เพราะการคิดสูตรขนมแต่ละเมนูออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องปรับไปมาหลายครั้งค่ะ

อาชีพเชฟ

อาชีพเชฟ อาชีพในฝัน

คุณฏิฏิภัฏฏ์ ดวงจิต (เชฟพาย)

เชฟเจ้าของร้านอาหาร Peppapaii cooking studio

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย มีโอกาสได้ไปฝึกงานภาคฤดูร้อนที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ถูกส่งไปฝึกแผนกครัว และเป็นคนชอบชิมชอบทานอยู่แล้ว ก็เลยเริ่มรู้สึกสนใจอาชีพเชฟตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาค่ะ

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้

ตอนเริ่มต้นอาชีพนี้ใหม่ๆ รู้สึกว่าคิดผิดหรือปล่าวนะที่เลือกมาสายนี้ เพราะเป็นงานที่ทั้งเหนื่อย ใช้แรงกาย ยืนทำงาน 10-15 ชม ต่อวัน แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกชอบอาชีพนี้คือ การได้รังสรรค์ หรือ ครีเอท เมนูใหม่ๆ มันไม่ใช่งานที่ใช้แต่ร่างกาย สมองก็ถูกใช้เป็นส่วนนึงในการทำอาชีพนี้ ยิ่งโตในสายอาชีพ ยิ่งต้องใช้พลังสมองในการคิดผลงานมากขึ้น ยิ่งท้าทาย จะคิดเมนูยังไงให้ดูแปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร จะจัดจานยังไงให้ดูดึงดูดลูกค้า  จึงเริ่มรู้สึกสนุกและชอบงานสายนี้

ครอบครัวมีส่วนช่วยเหลือในเส้นทาง อาชีพในฝัน นี้ยังไง

ครอบครัวเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ผลักดันให้เรามีโอกาสทำงานในด้านนี้ ให้อิสระในความคิด สนับสนุนทุกด้าน บางครั้งต้องมีงานที่ต้องเดินทางไปไกลถึงต่างประเทศเป็นปีๆหลายๆรอบ  แต่ครอบครัวก็ไม่เคยห้าม พร้อมสนับสนุนให้ทำตามฝัน 

เส้นทางสายอาชีพนี้ต้องเรียนอะไรบ้าง

สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่จบม.ปลาย ตอนนี้มีสถาบันการศึกษาหลายแห่งที่เปิดสอนด้านเชฟ ส่วนตัวจบด้านการโรงแรมมา ซึ่งจะมีวิชาเกี่ยวกับการจัดการภัตตาคาร เหมือนเป็นจุดเริ่มจากจุดนั้น และไปเรียนต่อโรงเรียนสอนทำอาหาร อีก 1 ปี พอเราสะสมการเรียนและวิชาในสายอาชีพเชฟ ก็สามารถไปสมัคร internship USA สามารถไปทำงานเป็นเชฟในโรงแรม 5 ดาว ในประเทศอเมริกาได้อีก 1 ปี  จากนั้นมีโอกาสไปเรียน Cookery Advance diploma อีกใบที่ ออสเตรเลีย และได้ทำงานที่นั้น อาชีพเชฟจึงเหมาะกับคนที่ชอบเดินทางไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ หรืออีกสายหนึ่งหลังเรียนจบก็ทำงานที่ไทยตามโรงแรมชั้นนำ สะสมตำแหน่งหน้าที่การงานไปเรื่อยๆจนขึ้นตำแหน่งสูง ส่วนตัวชอบแบบแรกมากกว่าเพราะชอบความอิสระ ได้ท่องเที่ยว และใช้ชีวิตในต่างประเทศ

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมีและต้องฝึกฝนเพิ่มในสายอาชีพนี้

  • ความอดทน : ในสภาพแวดล้อมการทำงานด้านเชฟ ทุกอย่างต้องเร็ว คล่องตัว มีสมาธิในการทำงาน ต้องอยู่ในสภาวะกดดันได้ ทำงานหนัก แบกของหนักได้ ยืนตลอด 12 ชม.โดยไม่ได้พัก นี้คือข้อแรกที่สำคัญสุดในการทำอาชีพนี้
  • มีความคิดสร้างสรรค์ : ต้องศึกษาหาข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ว่าช่วงนี้เทรนด์ไหนกำลังนิยม คัดสรรและครีเอทเมนูใหม่ๆออกมา เพื่อทำให้ลูกค้าอยากกลับมาทานอีกครั้ง

อาชีพขายของ

อาชีพค้าขาย อาชีพในฝัน

คุณศศิวิมล เทพหล้า (โบว์) อายุ 34 ปี 

เจ้าของร้าน Bonita shop

อาชีพขายปลีก-ส่ง เสื้อผ้าแฟชั่น (ขายส่งโซนภาคใต้ และส่งประเทศมาเลเซีย) 

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

รู้ตั้งแต่เด็กเลย เพราะว่ามีญาติๆ ที่ประกอบอาชีพนี้อยู่ ซึ่งตอนที่เราเด็กเราก็รู้สึกว่าเค้ารวยจัง มีเงินเยอะดี และผนวกกับช่วงประมาณอายุ 20 ปี ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 ได้มีโอกาสลองทำงานด้านนี้พอดี เลยยิ่งตอกย้ำความชอบไปอีกระดับนึง

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเลิกเรียน ได้มีโอกาสไปรับงานหารายได้พิเศษ โดยเป็นพนักงานขายเสื้อผ้า อยู่ที่สวนลุมไนท์บาซ่า(พิมพ์ไปแล้วรู้สึกแก่เลย เพราะตอนนี้ไม่มีสวนลุมไนท์ บาซ่าแล้ว) ตอนนั้นรู้สึกได้เลย ว่าเราชอบร้านเสื้อผ้าชอบแฟชั่น และชอบค้าขาย  ความรู้สึกแบบว่ามันเป็นความสุขที่ได้แนะนำสินค้าใหม่ๆ ให้ลูกค้า ได้พูดคุย update แฟชั่น ได้ช่วยเลือกของให้กับลูกค้า รู้สึกสนุกมาก

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

ครอบครัวสำคัญมากในข้อนี้ เพราะการเริ่มทำธุรกิจในช่วงแรกต้องใช้เงินทุนระดับนึง ซึ่งครอบครัวคอย Support ด้านทุนทรัพย์ให้  และคอยรับฟังปัญหาต่างๆ อีกทั้งคอยสนับสนุน ให้อิสระทางความคิดทางการตัดสินใจทุกอย่าง และที่สำคัญครอบครัวเชื่อมั่นในตัวเราเป็นอย่างมาก 

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

จริงๆ ไม่จำเป็นต้องเรียนตรงสาย แค่เราชอบ มีใจรักการค้าขาย รักด้านการบริการ ตามเทรนแฟชั่น ให้ทันยุค แค่นี้เราก็จะสามารถทำอาชีพนี้ได้

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

  • ต้องมีความอดทนและใจเย็น เพราะอาชีพขายส่ง เราเจอลูกค้าทั้งคนไทยและต่างประเทศ ลูกค้าจะมีความหลากหลายทางด้านลักษณะอารมณ์  แต่ละคนหลากหลายรูปแบบ ความต้องการต่างกันไป
  • ต้องมีความรับผิดชอบในงาน เมื่อลูกค้าออเดอร์สินค้ามา นั้นหมายถึงลูกค้าไว้ใจเลือกร้านเรา เราต้องจัดการหาสินค้าให้ถูกต้องและตรงต่อความต้องการลูกค้าและให้ทันเวลา 
  • ทุ่มเทเวลา เพราะอาชีพนี้ เราใช้ช่องทางการขายผ่านโซเชี่ยล  ทาง LINE ประมาณ 80% เพราะฉะนั้น เวลาส่วนใหญ่ เราจะอัพเดทคุยไลน์ ให้ลูกค้าตลอดเวลา เราจะขี้เกียจไม่ได้เลย เราทุ่มเทมากเท่าไหร่เราจะประสบผลสำเร็จมากเท่านั้น

อาชีพสอนว่ายน้ำและกีต้าร์

ครูสอนว่ายน้ำ อาชีพในฝัน คุณวรพงษ์ แดนวิวัฒน์เดชา อายุ 35 ปี 

อาชีพสอนว่ายน้ำและกีต้าร์  เพจติดต่อ

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

ขอเล่าในส่วนของดนตรีก่อนนะครับ

ในช่วงที่ตัดสินใจว่าจะเลิกเป็นนักกีฬาว่ายน้ำตอนนั้นอายุ 15ปีครับ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เพื่อนคนนึงหิ้วกีต้าร์มาแล้วมาดีดกีต้าร์โชว์เราแล้วก็ได้ลองให้เราลองเล่นกีต้าร์ดูจนเรารู้สึกว่าอยากเล่นเป็นบ้าง และพอได้ลองเล่นไปเรื่อยๆก็เริ่มรู้สึกหลงใหลในกีต้าร์ ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่กำลังจะเรียนต่อมัธยมปลาย ช่วงปิดเทอมใหญ่ เรามีเวลาว่างจึงได้มีโอกาสให้เพื่อนคนนั้นสอน (เพื่อนคนนี้ชื่อจา) พอเริ่มเล่นได้จากนั้นก็ติดใจในเสียงกีต้าร์และยิ่งเล่นยิ่งอยากค้นหาเสียงของมัน และจุดเปลี่ยนความคิดที่ทำให้อยากเป็นครูสอนกีต้าร์ช่วงนั้นอายุราวๆ 16 ย่าง 17 ปี มันเริ่มจากเมื่อเราเริ่มเล่นเก่งขึ้นเราก็อยากเล่นอะไรที่ยากขึ้น เราจึงเริ่มออกหาครูที่สอนกีต้าร์เก่งๆ เราขี่มอไซร์หากันทั้งเมืองก็ไม่เจอครูที่เก่ง  จนเวลาผ่านไปจนมีญาติของเพื่อนนี่แหละที่แนะนำ เราเห็นฝีมือการดีดกีต้าร์ เราทึ่งมากจนทำให้อยากรู้ว่าเค้าเรียนกับใครมา จนได้คำตอบ เค้าเป็นครูสอนกีต้าร์ในโบถส์คริตจักร และนั้นก็เป็นการจุดประกายอีกครั้งของการอยากเล่นกีต้าร์ และครูคนนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิต วิธีคิด มุมมอง และจุดความฝันเล็กๆที่อยากจะสอนกีต้าร์ให้กับผู้อื่นบ้าง เเม้ว่าในปัจจุบันอาจจะไม่ได้สอนแบบจริงจังมากนัก

ส่วนการมาเป็นครูสอนว่ายน้ำ

ขอเล่าย้อนอดีตแบบสั้นๆนะครับ คือตอนเด็กๆผมเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของจังหวัดอยู่แล้ว และก็ได้เลิกว่ายช่วงอายุ 16 ปี จากนั้นก็มีรับจ๊อบสอนบ้างเล็กๆน้อยๆ จนมาถึงช่วงปลายปี 2015

พอดีได้มีโอกาสไปรู้จักกับทีมสอนว่ายน้ำทีมนึงซึ่งมีอดีตนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติขวัญใจเราในสมัยเด็กเป็นโค้ชและเป็นคนคุมทีม และออกแบบตารางซ้อม คอร์ดให้กับนักกีฬา จึงเกิดความสนใจที่อยากจะร่วมทีมด้วย และรวมถึงในช่วงเวลานั้นเราป่วยบ่อยมากและก็พยายามออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำเพื่อฟื้นร่างกาย จนคิดว่าทำไงให้ออกกำลังกายละได้เงินไปด้วย วันนั้นจึงตัดสินใจขอร่วมทีมเลย จากคิดว่าจะทำเล่นๆก็กลายเป็นเรื่องที่จริงจังและเป็นอาชีพจนถึงวันนี้เลย

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

จริงๆในส่วนของดนตรีคือมันหลงใหลจนกลายมาเป็นอาชีพครับ ส่วนว่ายน้ำคือไม่ได้ชอบ แต่เพราะทำมาตั้งแต่เด็ก เราเลยถนัด ก็เลยคิดว่าการทำสิ่งที่ถนัดและได้ต่อยอดในสิ่งที่ถนัดซึ่งนั่นถือว่าคือจุดแข็งที่ดีที่สุดในการทำเงินเลยแม้ว่าเราจะไม่ชอบก็ตาม นั่นจึงทำให้ผมไม่ลังเลที่จะกลับมาสู่วงการเดิม

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

จริงๆเส้นทางเหล่านี้ทางครอบครัวแค่คิดว่าการสนับสนุนด้านความสามารถมันเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญของการเลี้ยงดูลูกๆ สักวันนึงเมื่อลูกๆโตขึ้นลูกจะใช้ความสามารถเหล่านี้หาเงินหรือไม่นั้น อันนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกๆเอง  แต่ถ้าวันนึงลูกๆสานต่อความสามารถเหล่านี้ก็จะเป็นจุดแข็งสำหรับลูกๆเองเพราะลูกถูกฝึกและเริ่มมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งเวลาผ่านไปฝีมือก็จะยิ่งแกร่งกล้าตามกาลเวลา แต่ลูกๆก็ต้องฝึกพัฒนามันด้วย

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

เริ่มจากเรียนในด้านทักษะก่อน จากนั้นก็ต้องฝึก  เมื่อเก่งก็สามารถเรียนเพิ่มเติมได้ ซึ่งรายละเอียดมันเยอะ สมัยปัจจุบันมีสาขาวิชาค่อนข้างกว้างมาก ถ้าว่ายน้ำก็ไปเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาหรือกายภาพบำบัดก็ได้  หรือถ้าดนตรีก็สามารถไปต่อยอดด้านดนตรีบำบัดหรือธุรกิจดนตรีหรือเทคโนโลยีด้านดนตรีก็ได้  ซึ่งปัจจุบันทั้ง 2 อย่างมีความหลากหลายในการที่จะไปต่อยอดได้ครับ

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

ต้องไม่หยุดหาความรู้เพิ่มครับ และต้องเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ ในเรื่องของการพัฒนาการด้านทักษะ และสิ่งที่ต้องฝึกเพิ่มคือด้านวิทยาศาสตร์และด้านเทคนิคใหม่ๆ และอยากจะต่อยอดทางศาตร์ของกายภาพบำบัดด้วยครับ

อาชีพวิศวกรทดสอบยานยนต์

วิศวกรยานยนต์ อาชีพในฝัน

คุณสัมฤทธิ สุวรรณโณ อายุ 33 ปี

อาชีพวิศวกรทดสอบ

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

ตั้งแต่สมัยเด็กๆ เนื่องจากเราเป็นพวกที่ชอบอะไรที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์มากๆ จนมีคำถามในสมัยเด็กๆ ว่า กว่าจะมาเป็นรถยนต์นั้นต้องผ่านอะไร ทำอะไร มาบ้าง จนกลายมาเป็นรถวิ่งบนถนน ก็เลยศึกษาและเรียนรู้มาเรื่อยๆ จนกระทั้ง จบมัธยม ก็ลองหาสายที่จะเรียนต่อปริญญาตรี ตอนแรกคิดว่าจะเรียน สถาปัตยกรรม เพราะว่าเราอยากออกแบบรถยนต์เองในแบบที่เราชอบ แต่พอศึกษาดู ส่วนใหญ่สถาปัตยกรรมในบ้านเราจะเป็นเกี่ยวกับ การออกแบบบ้าน สิ่งของ เครื่องใช้ หรืออื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์เลย ในสมัยก่อน การออกแบบรถยนต์ จะต้องมาจากต่างประเทศและในประเทศยังไม่มีการเรียนการสอนที่เกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์เลย ประกอบกับเหตุผลอีกอย่าง ตอนเรียนมัธยมปลาย ไม่ค่อยจะตั้งใจเรียน จนมีอาจารย์ท่านหนึ่ง มาถามว่า จบ ม.6 แล้วอยากเรียนอะไร ก็เลยบอกไปว่าอยากเรียน สถาปัตยกรรม หรือ วิศวะ อะไรประมาณนี้ครับ อาจารย์ท่านนั้นก็บอกว่า “เธอน่าจะเรียนสถาปัตยกรรมได้ แต่ถ้าไปทางด้านวิศวะ มันเรียนหนักนะ เธออาจจะไม่ไหว” ก็เลยเกิดคำถามในใจ ทำไมเราถึงจะเรียนวิศวะไม่ได้ล่ะ หลังจากนั้น ก็เลยลองศึกษาและข้อมูลใหม่ ในสายวิศวะ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ ก็ได้มาเจอ วิศวะ สาขาวิศวกรรมยานยนต์ ก็เลยตัดสินใจ เรียนวิศวะ นี้แระ ตอนนั้นคิดในใจ มันจะเรียนหนักขนาดไหนกัน อีกทั้งยังคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราชอบ มันก็น่าจะไม่ยากเกินไป ซึ่งเหตุผลนี้ ที่คิดว่าทำให้เราอยากเรียนและทำงานในอาชีพด้านนี้ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ และเป็นสิ่งที่เราชอบมาตั้งแต่เด็กๆ

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

หลังจากเรียน คณะวิศวกรรม สาขาวิศวกรรมยานยนต์จบ มันก็ยากจริงๆเหมือนที่อาจารย์ท่านนั้นบอกเราจริงๆ หลังจากนั้นก็พยายามหางานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรถยนต์ จนได้ทำงานในตำแหน่ง TPS Engineer ซึ่งงานก็จะเป็นลักษณะ การวางแผน พัฒนา และปรับปรุง สายงานการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งก็ตรงกับสายงานที่เราอยากทำงานที่เกี่ยวกับรถยนต์อยู่แล้ว ถามว่าชอบงานนี้ไหม ก็ชอบนะ จนกระทั่ง มีงานติดต่อมาจาก บริษัทที่เคยฝึกงานตอนสมัยเรียนปริญญาตรี ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับการทดสอบชิ้นส่วนของรถยนต์และรถยนต์ทั้งคัน เค้าแจ้งว่ามีตำแหน่ง วิศวกรทดสอบ สนใจรึป่าว ก็เลย นั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด เอาไงดี ปรึกษาตนโน้นที คนนั้นที สุดท้าย ตัดสินใจลองดูกับงานวิศวกรทดสอบเนื่องจากคิดว่างานทางด้านวิศวกรรมทดสอบชิ้นส่วนรถยนต์และรถยนต์ทั้งคัน มันน่าจะมีหลายๆอย่าง ที่ให้เราเรียนรู้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์มากกว่าที่ปัจจุบัน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น ในอาชีพวิศวกรรมทดสอบ ซึ่งลักษณะ งาน จะเป็น เรื่องการทดสอบชิ้นส่วนรถยนต์และรถยนต์ทั้งคันตามมาตรฐานสากล  และมาตรฐานห้องทดสอบที่จะต้องทำเพื่อให้สากลยอมรับได้ผลได้ พอทำๆไป 1 ปี 2 ปี ผ่านไป จนเข้าปีที่ 8 เฮ้ย เราทำงานมา 8 ปีแล้วเหรอ ตลอดที่ 8 ปีที่ผ่านมา รู้สึกสนุกกับมันตลอดที่ทำงานมา ซึ่งงานทดสอบชิ้นส่วนรถยนต์และรถยนต์ทั้งคันนั้น ยังมีอะไรที่ให้เรียนรู้อีกมากมาย ยังมีอะไรให้เราได้ ค้นคว้า ศึกษา และเรียนรู้เพิ่มเติม ในสิ่งที่เกี่ยวกับรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราชอบตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยคิดว่างานนี้แระ เป็นงานที่เราชอบ เพราะเราไม่เคยรู้สึกเบื่อกับมันเลย

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทางอาชีพนี้อย่างไรบ้าง?

สิ่งแรกที่ครอบครัวช่วยเหลือก็คือ ค่าศึกษาเล่าเรียนปริญญาตรี สิ่งที่สอง ก็คือกำลังใจ เพราะเรียนหนักจริงๆ อย่างที่อาจารย์ท่านนั้น เคยเตือนไว้จริงๆ และสิ่งสุดท้าย ไม่เคยห้ามในสิ่งที่เรา ชอบ สิ่งที่เราอยากทำ มีแต่การสนับสนุนอย่างดีมาตลอด

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

ถ้าเป็นปริญญาตรี ก็เรียน วิศวกรรมศาสตร์ ได้ทุกสาขา หรือไม่ก็ วิชาอุตสาหกรรมก็ได้ ถ้าเป็นปวส. ก็เรียน สาขาที่เกี่ยวกับยานยนต์ หรือสาขางานช่างก็ได้เช่นกัน

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเสมอ เท่านี้ล่ะครับ

อาชีพผู้จัดการสิ่งแวดล้อม

คุณน้ำตาล นสิตา อาชีพในฝันคุณน้ำตาล อายุ 33 ปี

พนักงานบริษัทเอกชน ตำแหน่ง ผู้จัดการสิ่งแวดล้อม

รู้ตัวเองเมื่ออายุเท่าไหร่ว่าอยากทำอาชีพนี้?

รู้ตัวตอนประมาณอายุ 17 ปี ในช่วงที่กำลังเข้ามหาลัย เพราะบริเวณแถวบ้านมีโรงงานจำนวนมาก เลยคิดว่าอยากทำงานใกล้บ้าน 

รู้ได้อย่างไรว่าชอบอาชีพนี้?

ชุมชนที่ทำงานอยู่ชอบร้องเรียนเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม เลยคิดว่าอยากจะเรียนด้านนี้มาเพื่อที่สามารถมีส่วนช่วยควบคุมสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการโรงงานได้ ทำให้โรงงานอยู่ในพื้นที่ร่วมกับชุมชนได้อย่างสมดุล

ครอบครัวมีส่วนในการช่วยเหลือในเส้นทาง อาชีพในฝัน นี้อย่างไรบ้าง?

ครอบครัวก็สนับสนุนทุกอยากเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นทุนทรัพย์ หรือการให้โอกาสได้เลือกทางของเราเอง

เส้นทางของอาชีพนี้ ต้องเรียนอะไรบ้าง?

หลักๆก็คือการเรียนในเรื่องของการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม

ศักยภาพอะไรที่คุณต้องมี และต้องฝึกฝนเพิ่มในการทำอาชีพนี้ ?

การเข้าถึงชุมชน วิธีการพูดหลักการด้านสิ่งแวดล้อมที่คนในชุมชมฟังแล้วเข้าใจง่าย ต้องคอยอัพเดทกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา

บทสรุป อาชีพในฝัน

จากบทสัมภาษณ์ อาชีพในฝัน ของจากผู้คนหลากหลายอาชีพ จะเห็นได้ว่าทุกคนมีเส้นทางการเดินทางเข้ามาในสายอาชีพนั้นๆด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็อาจจะรู้ตัวตั้งแต่เด็ก และเดินตามหาความฝัน บ้างก็ค้นหาตัวเองมาเรื่อยๆจนเจอสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข หาเลี้ยงตัวเองและจุนเจือคนในครอบครัวได้ สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากทุกบทสัมภาษณ์ก็คือสถาบันครอบครัว ที่ที่เป็นสถาบันพื้นฐานหลักที่คอยช่วยผลักดัน อาชีพในฝัน ของเด็กน้อยคนนึงในบ้านหลังเล็กๆ ให้ก้าวสู่โลกกว้างในวัยที่ต้องยืนยัดได้ด้วยตนเอง เพื่อพัฒนาสังคมและประเทศให้ก้าวหน้าในต่อ

 

Resource :

https://tolovehonorandvacuum.com/2010/10/benefits-of-boredom/

https://www.psychologytoday.com/us/blog/inviting-monkey-tea/201801/can-i-let-my-child-be-bored

https://www.nhsggc.org.uk/about-us/professional-support-sites/screen-time/benefits-of-reduced-screen-time/

Guidelines issued on activity and screen time for babies and toddlers – NHS (www.nhs.uk)

https://www.who.int/news/item/24-04-2019-to-grow-up-healthy-children-need-to-sit-less-and-play-more

https://www.bbc.com/thai/international-55013410