โทษทางอาญา รู้แล้วอย่าข้องเกี่ยว ห่างได้ห่าง

โทษทางอาญา คดีอาญา

สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาว่ากันเรื่องของ โทษทางอาญา ซึ่งหลายคนคงได้ยินคำนี้มาบ่อยครั้งจากการดูข่าวสารต่างๆในบ้านเมืองเรา แต่อาจจะไม่เข้าใจว่าคืออะไร วันนี้ผมขอพาทุกคนมาทำความเข้าใจของโทษทางอาญาให้กระจ่างมากขึ้น ตามฉบับกฎหมายใกล้ตัวรู้ไว้ใช่ว่า มาเริ่มกันครับ

บทความที่เกี่ยวข้อง

โทษทางอาญา  หมายถึงอย่างไร

“โทษ” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน ได้ให้ความหมายไว้เป็น 2 แนว คือ 

  • นกรณีที่เป็นคำนาม ให้หมายถึงความไม่ดี หรือ ความชั่ว เช่นโทษแห่งความเกียจคร้าน
  • แต่ถ้ากรณีเป็นคำกิริยา ก็จะหมายถึง การอ้างเอาความผิดให้  เช่น อย่าโทษเด็กเลย

โทษทางอาญา 

หมายถึง มาตรการหรือ วิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับลงโทษผู้กระทำความผิดอาญาตามที่ ประมวลกฎหมายอาญากำหนดไว้  หรือตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายอื่น ๆ  

การจะลงโทษทางอาญา สำหรับประเทศไทยได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ 2560 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด โดยบัญญัติไว้ว่า

มาตรา 4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  สิทธิ  เสรีภาพ  และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

มาตรา 28 บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย

การจับและการคุมขังบุคคลจะกระทำมิได้  เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายจองศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

การค้นตัวบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิตหรือร่างกายจะกระทำมิได้  เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ

การทรมาน  ทารุณกรรม  หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้

มาตรา 29 บุคคลใดไม่ต้องรับโทษอาญา  เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้  และโทษที่จะลงแก่บุคคลนี้นจะหนักกว่าโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในที่กระทำความผิดมิได้

ในคดีอาญา  ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด  และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด  จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเหมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้

การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยให้กระทำได้เพียงเท่าที่จำเป็น  เพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี

ในคดีอาญา  จะบังคับให้บุคคลให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองมิได้

คำขอประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาต้องได้รับการพิจารณา และจะเรียกหลักประกันจนเกินควรแก่กรณีมิได้  การไม่ให้ประกันต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

โทษทางอาญา

ประเภทของโทษทางอาญา

โทษทางอาญานั้นสามารถแบ่งแยกออกเป็น 5 ประเภทแตกต่างกันออกไป  โดยมาตรา 18 ของประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่า  “โทษสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิดมีดังนี้ 

(1) ประหารชีวิต

(2) จำคุก

(3) กักขัง

(4) ปรับ

(5) ริบทรัพย์สิน

การลงโทษ

การลงโทษ

ส่วนวิธีการที่จะใช้ในการลงโทษจะเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ กล่าวคือ

  1. การประหารชีวิต   หากผู้ใดต้องโทษประหารชีวิตให้ดำเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือสารเคมีให้ตาย  (วิธีนี้เป็นการแก้ไขจากเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับค่านิยอมของแต่ละยุคสมัย  ซึ่งเดิมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นกำหนดให้นำผู้ต้องโทษประหารไปตัดคอ  แต่ต่อเมื่อ พ.ศ. 2546 ก็ได้เปลี่ยนไปเป็นว่าให้นำไปยิงเป้า)  แต่อย่างไรก็ตาม  การจะลงโทษประหารนั้น  กฎหมายยังได้ระบุข้อยกเว้นไว้ว่า โทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี  

ส่วนสถานที่ประหารชีวิตนั้น  ให้ประหาร ณ ตำบลและเวลาที่เจ้าหน้าที่ในการนั้นจะเห็นสมควร (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 247 วรรค 3)

ในกรณีที่ผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี ได้กระทำความผิดที่มีระวางโทษประการชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต  ให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี

อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่ต้องรับโทษประหารชีวิตเป็นหญิงที่ยังตั้งครรภ์อยู่ กฎหมายให้รอการลงโทษประหารชีวิตไว้ จนพ้นกำหนดสามปีนับแต่คลอดบุตรแล้ว และให้ลดโทษประหารชีวิตลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต  เว้นแต่เมื่อบุตรถึงแก่ความตายก่อนพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว  ในระหว่างสามปีนับแต่คลอดบุตร  ให้หญิงนั้นเลี้ยงดูบุตรตามความเหมาะสม  ในสถานที่ที่สมควรแก่การเลี้ยงดูบุตรภายในเรือนจำ

  1. โทษจำคุก  ก็หมายถึงการที่นำจำเลยไปขังไว้ ตามกำหนดเวลาตามที่ศาลมีคำพิพากษานั่นเอง  ส่วนสถานที่จำคุกนั้น ก็เหมือนอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว  คือในเรือนจำนั้นเอง มิใช่สถานที่อื่นมิฉะนั้นจะเป็นเรื่องของโทษกักขัง  ซึ่งจะกล่าวต่อไป
  2. โทษกักขัง   เป็นโทษทางอาญาที่ต่างจากโทษจำคุก  โดยผู้ใดต้องโทษกักขัง ให้กักตัวไว้ในสถานที่กักขังซึ่งกำหนดไว้  อันมิใช่เรือนจำ  สถานีตำรวจ  หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน  และถ้าศาลเห็นเป็นการสมควร  จะสั่งในคำพิพากษาให้กักขังผู้กระทำความผิดไว้ในที่อาศัยของผู้นั้นเอง  หรือของผู้อื่นที่ยินยอมรับผู้นั้นไว้ หรือสถานที่อื่นที่อาจกักขังได้  เพื่อให้เหมาะสมกับประเภทหรือสภาพของผู้ถูกกักขังก็ได้

ผู้ต้องโทษกักขังตามที่กำหนดดังกล่าวข้างต้น   จะได้รับการเลี้ยงดูจากสถานที่นั้น  แต่ภายใต้ข้อบังคับของสถานที่  ผู้ต้องโทษกักขังมีสิทธิที่จะรับอาหารจากภายนอกโดยค่าใช้จ่ายของตนเอง  ใช้เสื้อผ้าของตนเอง  ได้รับการเยี่ยมอย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วโมง และรับส่งจดหมายได้   (ปัจจุบัน ไมแน่ใจว่าจะมีคนส่งจดหมายกันหรือไม่ หรืออาจะต้องแก้ไขกฎหมายให้สอดคลองกับยุคเทคโนโลยีอีกครั้ง) แต่ทั้งนี้ผู้ต้องโทษกักขังจะต้องทำงานตามระเบียบ ข้อบังคับและวินัย ของสถานที่นั้น  แต่หากผู้ต้องโทษกักขังประสงค์จะทำงานอย่างอื่นที่ไม่ขัดต่อระเบียบ  ข้อบังคับ  วินัย  หรือความปลอดภัยของสถานที่กักขัง ก็สามารถอนุญาตได้

  1. โทษปรับ  คือการลงโทษด้วยการให้ผู้กระทำความผิดจ่ายเงินให้แก่รัฐ ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 28 บัญญัติว่า “ผู้ใดต้องโทษปรับ  ผู้นั้นจะต้องชำระเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ในคำพิพากษาต่อศาล”  แต่ถ้าไม่ชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ  หรือมิฉะนั้นจะต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ  และการกักขังแทนค่าปรับ  ให้ถืออัตราสองร้อยบาทต่อหนึ่งวัน (กรณีอาจต้องมีการเปลี่ยนจำนวนเงินอีก เนื่องจากปัจจุบันค่าครองชีพสูงมากขึ้นทุกวัน  อาจต้องปรับให้เท่ากับค่าจ้างแรงงานของจังหวัดที่แพงที่สุดก็ได้)  แต่ห้ามกักขังเกินกำหนดหนึ่งปี  เว้นแต่ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทขึ้นไป  ศาลจะสั่งให้กักขังแทนค่าปรับเป็นระยะเวลาเกิดกว่าหนี้ปีแต่ไม่เกินสองปีก็ได้

ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาไม่เกินแปดหมื่นบาท  และผู้ต้องโทษที่มิใช่นิติบุคคลไม่มีเงินชำระค่าปรับ  อาจยื่นคำร้องเพื่อขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ

  1. การริบทรัพย์สิน  คือการริบเอาทรัพย์สินที่กฎหมายกำหนดว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ให้มาเป็นของรัฐ เช่น ไม้เถื่อน  ยาเสพติด อาวุธปืน เป็นต้น  ไม่ว่าทรัพย์สินเหล่านั้นจะเป็นของผู้กระทำความผิดและมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่

อย่างไรก็ตาม  เมื่อทราบถึงโทษทางอาญาแล้วว่ามีประเภทอะไรบ้าง  การที่ผู้พากษาคดีจะหยิบยกโทษประเภทใดมาปรับใช้ และจะลงโทษให้หนักเบาเพียงใด คงต้องอยู่ในดุลยพินิจของศาลที่จะเห็นสมควรแล้วแต่กรณีหรือและแต่คดีไป  ซึ่งในการนี้มีแนวความคิดของการลงโทษที่น่าจะสรุปคร่าว ๆ ดังนี้คือ

แนวความคิดของการลงโทษ

ก. แนวความคิดการลงโทษเพื่อแก้แค้นทดแทน  (Retributive Theory) แนวความคิดนี้เป็นผลสีบเนื่องมาจากแนวความคิดทางการเมือง  การปกครอง  ศาสนา และระบบสังคมในอดีต  ซึ่งมักจะใช้วิธีการที่รุนแรง  ในทำนอง “ตาต่อตาฟันต่อฟัน”   หรือลักษณะที่ให้สาสมกับความผิดที่ได้กระทำลงไป

ข. แนวความคิดการลงโทษเพื่อข่มขู่ยับยั้ง (Deterrence Theory)   แนวความคิดนี้  เห็นว่าการลงโทษสามารถข่มขู่และยับยั้งผู้กระทำความผิด และบุคคลอื่นที่ได้เห็นตัวอย่าง เกิดความเกรงกลัวโทษ  จนไม่กล้าที่จะกระทำผิดขึ้นอีก  

ค. แนวความคิดในการลงโทษเพื่อแก้ไขฟื้นฟู (Rehabilitative Theory) แนว ความคิดนี้  มองว่าการลงโทษน่าจะมีการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดให้กลับตัวเป็นคนดีขึ้น  เพื่อไม่ให้ผู้กระทำผิดกลับมากระทำผิดซ้ำ รวมทั้งพยายามที่จะช่วยให้ผู้กระทำผิดกลับคืนสู่สังคมได้ตามปกติ  จึงต้องมีการให้การเรียนรู้  การอบรม  การฝึกอาชีพ  ให้เพียงพอที่จะสามารถดำเนินชีวิตได้เมื่อพ้นโทษแล้ว

อนึ่ง  นอกจากโทษทางอาญาดังกล่าวข้างต้นแล้ว  ยังมีการลงโทษอีกประเภทหนึ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “โทษทางแพ่ง” ก็ได้  ด้วยวิธีการบังคับให้ชำระหนี้หรือชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  เช่นในกรณีละเมิด  เป็นต้น

จากที่กล่าวมาข้างต้นเป็นโทษทางอาญา  แต่ยังมีวิธีการอีกบางประการซึ่งใกล้เคียงกับโทษทางอาญา  แต่ไม่ถือเป็นโทษทางอาญา  แต่ถือเป็นเพียง “วิธีการเพื่อความปลอดภัย” ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ประเภทดังนี้

(1) กักกัน

(2) ห้ามเข้าเขตกำหนด

(3) เรียกประกันทัณฑ์บน

(4) คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล

(5) ห้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง

สุดท้ายนี้  ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงเกร็ดความรู้ เล็ก ๆ น้อย ๆ และผู้เขียนหวังว่าท่านทั้งหลายจะปลอดภัย ไม่ต้องเข้าข้องเกี่ยวหรือรับโทษทางอาญาแต่ประการใดครับ

ทะแนะ

บทความที่น่าสนใจ

One thought on “โทษทางอาญา รู้แล้วอย่าข้องเกี่ยว ห่างได้ห่าง

  1. Pingback: ทะแนะ ตอน ต้นไม้รุกล้ำ ปัญหาคลาสสิกในเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับบ้าน

Comments are closed.