เงียบเหงากันมานาน เรามาใช้ธรรมชาติบำบัดกันดีกว่า เรามาเปลี่ยนบรรยากาศ เพิ่มความเสียว ใส่ความตื่นเต้น ให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น สำหรับคนที่กลัวความสูงทุกคน อย่าเพิ่งปิดกั้นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เด็ดขาด เพราะปกติเราเองก็เป็นคนกลัวความสูงมากคนนึงเช่นกัน กลัวถึงขนาดว่าแค่ขึ้นบันไดเลื่อนชั้นเดียวยังไม่กล้ายืนริมทางเลย ต้องยืนกลางบันไดเลื่อนทุกครั้ง แต่ด้วยความอยากปลดล็อคความกลัวของตัวเอง ลองท้าทายสิ่งที่เราคิดว่ากลัวมาตลอด แต่จริงๆความสวยของวิวมันยั่วยวนด้วยแหละ ได้มีโอกาสมาเที่ยวเชียงคานแล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะไม่แวะสถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังดังล่ะ เราเลยตัดสินใจดึงเอาตัวเองออกจากความกลัวมาลองสถานที่แห่งใหม่ของที่นี้ “สกายวอล์คเชียงคาน”
บทความที่เกี่ยวข้อง
จากข้อมูลที่มีอยู่ในมือ ระดับความสูงเหมือนจะไม่ค่อยสูงมาก น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ทำให้เราได้สัมผัสวิวสวยๆผ่านความสูงที่กลัวมาตลอดชีวิตได้ไม่ยาก ความรู้สึกแรกต้องดีมากแน่ๆเลย เราเดินทางมาถึงที่นี่ได้ด้วยความช่วยเหลือของ GPS และป้ายบอกทางใหญ่ ๆ จนถึงที่หมายได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ข้อมูล สกายวอล์คเชียงคาน
สกายวอล์ค เชียงคาน หรือ สกายวอล์คพระใหญ่ภูคกงิ้ว ตั้งอยู่ที่บ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม อำเภอ
เชียงคาน ห่างจากตัวอำเภอเชียงคานไปประมาณ 20 กิโลเมตร มีความสูงกว่าระดับแม่น้ำโขงกว่า 80 เมตร หรือคิดง่ายๆคือเทียบเท่าตึก 30 ชั้น มีทางเดินที่ทำด้วยกระจกใสชนิดพิเศษ พื้นมีความกว้าง 2 เมตร ความยาวกว่า 100 เมตร มีตะแกรงเหล็กรองรับอย่างแน่นหนา และมีพระใหญ่คกงิ้ว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร หล่อด้วยไฟเบอร์ผสมเรซิ่นทอง สูงกว่า 19 เมตร ที่สำคัญสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นผืนดินแห่งแรกของภาคอีสานที่แม่นํ้าโขงไหลผ่าน โดยมีแม่นํ้าเหือง ที่เป็นแนวพรมแดนธรรมชาติ กั้นระหว่างสปป.ลาวกับประเทศไทย จุดนี้เองเป็นบริเวณที่แม่นํ้าเหืองไหลมาบรรจบกันกับแม่นํ้าโขง ทำให้เราสามารถมองเห็นแม่นํ้าเป็น 2 สีได้อย่างชัดเจน แล้วคิดภาพตามดูนะคะว่าถ้าเราได้เดินบนสกายวอล์กเราจะสามารถมองเห็นแม่นํ้า 2 สีได้อย่างชัดเจนและสวยงามขนาดไหน ในเมื่อวิวแม่น้ำสวยขนาดนั้นก็ไม่แปลกใจเลยที่จุดนี้จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่สามารถชมพระอาทิตย์ตก ลับมุมภูเขาที่สวยงามมาก จนหลายๆคนอดใจไม่ไหว ชักชวนกันมาชมความงามเก็บเป็นความทรงจำดีดี
เมื่อเรามาถึงสิ่งแรกที่เราจะได้เจอคือลานจอดรถที่กว้างขวางสามารถรองรับรถบัส รถทัวร์ได้หลายคัน มีลานขายของฝากซึ่งส่วนใหญ่เป็นของที่ชาวบ้านในพื้นที่นำมาขายหารายได้กัน และยังมีร้านค้าให้พักหลบแดดอีกด้วย
การเดินทาง
การขึ้นไปดูจุดชมวิวสกายวอล์คมี 2 แบบ คือ
- เดินไปด้วยกำลังกายและกำลังใจที่มีและชื่นชมธรรมชาติ 2 ข้างทางได้เต็มที่ (แต่ไม่แนะนำสำหรับสายเที่ยวแต่ไม่มีเวลามากแบบเรา)
- นั่งรถที่เค้าจัดให้ ค่าบริการไป-กลับ 20 บาท (ถือว่ามากระจายรายได้ให้ชุมชุนอีกทางหนึ่ง)
เมื่อเราคิดไตร่ตรองดูแล้วเราตอบตัวเองได้ในทันทีว่า “เราเลือกจ่าย 20 บาทจร้า” สิ่งสำคัญอีกอย่างก่อนขึ้นไปคือ เราต้องเตรียมรองเท้าที่ใช้สวมเวลาเดินบนสกายวอล์คไปด้วยนะคะ เราซื้อมาในราคาคู่ละ 30 บาท (แอบกระซิบว่า เมื่อเราใส่ชมวิวเรียบร้อยแล้วอาจขายต่อให้คนที่ขึ้นไปแต่ยังไม่ได้ซื้อรองเท้าไปได้นะคะ เพราะตอนที่เราขึ้นไปบางคนก็ไม่ได้ซื้อ ต้องขอซื้อจากคนข้างบนค่ะ)
เอาล่ะ ถือเป็นการเริ่มต้นได้ดี ในที่สุดเราก็มาอยู่ในจุดที่ต้องต่อแถวขึ้นรถสองแถวเพื่อขึ้นไปข้างบนกันแล้ว ตลอดเส้นทางที่เรานั่งรถขึ้นไป ใบหน้าสัมผัสลมที่พัดมากระแทกใบหน้า อากาศเย็นๆ ก็ให้ความรู้สึกสดชื่นไปอีกแบบ นั่งรถมาได้สักพักเราจะเห็นว่าบริเวณสกายวอล์คเชียงคานนั้นไม่ได้มีแค่วิวสวยๆ ทางเดินกระจก แต่ยังมีพระใหญ่ภูคกงิ้ว เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานให้ทุกๆคนขึ้นมากราบไหว้ขอพร ความสวยงามของพระพุทธรูปองค์สีเหลืองทองตัดกับท้องฟ้าสีสดใส ยิ่งมองยิ่งทำให้รู้สึกสงบ จนทำให้อดใจไม่ได้ที่จะขอถ่ายภาพเก็บไว้
กิจกรรม
บริเวณนี้มีการตกแต่งพื้นที่ด้วยดอกไม้ ตุง เพื่อใช้ประดับ บูชาตามประเพณีชาวเลย น่ารักไปอีกแบบ จากนั้นเราก็ไปต่อแถวรับบัตรคิว และบายสีดอกไม้น้อยๆ ซึ่งเรียกว่า ขันหมากเบ็ง เป็นเครื่องสักการะชั้นสูง ตั้งแต่สมัยโบราณของคนลาวล้านนา ล้านช้าง (จุดนี้เราสามารถทำบุญเพิ่มเติมได้) ก่อนเข้าเดินบนสกายวอล์ค จะมีคุณลุงผู้ประกาศ จะคอยประกาศเป็นรอบๆตามสี
ระหว่างรอเวลา ก็ไหว้พระใหญ่ภูคกงิ้ว เพื่อความเป็นสิริมงคลกันสักหน่อย และด้วยความเป็นคนกลัวความสูง ก็กังวัลเล็กน้อย และคิดว่าไม่สูงมาก และด้วยอุปกรณ์พร้อมแล้ว ก็เอาละ สักครั้ง (อ่อ… ลืมบอกอีกอย่าง รองเท้ากันลื่นที่ใช้ใส่เดินบนสกายวอล์ค ให้ใส่ตอนอยู่สกายวอล์คที่เป็นตะแกรงก่อนสะพานกระจกนะคะ เพราะบางคนใส่เดินรอบๆ ฐานพระ หรือยืนรอ มันจะมีเศษหินติดรองเท้า มีผลต่อพื้นกระจกได้ค่ะ)
และหลังจากได้ยินเสียงคุณลุงเรียกป้ายสีที่ถืออยู่ เราก็สูดหายใจลึกๆและก้าวไป ระหว่างก้าวแรกที่เดินเหยียบ จากท่อนเหล็ก เหมือนเป็นทางเชื่อมต่อไปยังพื้นกระจก โอ้ยยแม่เจ้า อิชั้นขาสั่น ยืนนิ่งจ้า ต้องเกาะแขนพี่ที่ไปด้วย ระหว่างทางเดินไปยังจุดที่ต้องถ่ายรูป รูปก็ต้องได้ ก็เลยเดินปิดตาไปเกาะแขนไปจนไปถึงจุดที่ทุกคนต้องมายืนถ่ายรูป พอลืมตา โอโห้!!!!! เหมือนอยู่สวรรค์ สวยงามมาก ข้างหลังเป็นแม่น้ำ ซึ่งสามารถมองเห็นฝั่งประเทศสปป.ลาว ซึ่งภาพที่เห็นสีเขียวตัดกับแม่น้ำเป็นสองสีตามคำล่ำลือจริงๆด้วย เหมือนภาพวาดจริงๆ ณ ตอนนั้นลืมไปเลยว่ากลัวความสูง ยิ้มสู้ค่ะ
เมื่อถ่ายจุดนี้อิ่มแล้วก็เกาะแขนเดินต่อไปอีกจุด ซึ่งอยู่อีกฝั่ง ซึ่งเป็นจุดโค้งน้ำพอดี มันดูสวยไม่แพ้กัน และในระหว่างทางไปยังอีกจุด เราสามารถหยุดถ่ายรูปสวยๆได้ตลอดนะ แต่ไม่ได้หยุดนานมาก เพราะเกรงใจคนอื่นค่ะ
เราดื่มด่ำบรรยากาศทุกมุม สักระยะหนึ่ง เค้าก็เรียกบัตรคิวสีอื่นเข้ามา ช่วงเวลาที่เดินบนสะพานแห่งนี้เรียกได้เราอยู่บนสวรรค์จริงๆ มันสวยมาก ถึงจะร้อน แต่กลิ่นธรรมชาติมาช่วยผ่อนคลายได้เสมอ เราไม่รู้จะบอกยังไง แต่สรุปง่ายๆ เกินคำบรรยาย อยากให้ลองมาสัมผัสกัน และสรุปความเสียวของที่นี้ เราให้ 7 เต็ม 10 เหมือนไม่เสียว แต่เราก็เสียวได้
Resources;
ขอบคุณ https://ww2.loei.go.th/travel/detail/39/data.html
และ https://www.loeipao.go.th/travel/detail/11